บล.เคจีไอ...วิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นไทย...โดยระบุว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลง สะท้อนการอ่อนค่าแรงของเงินบาท และการที่จำนวนผู้ติดเชื้อCOVID-19 กลับมาสูงกว่าจำนวนผู้หายป่วยอีกครั้งหนึ่ง...และสำหรับปัจจัยต่อตลาดหุ้นยังคงเป็นลบ ในฝั่งของสหรัฐฯ นั้น ตลาดหุ้นและตลาดน้ำมันดิบปรับฐานลงเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนก่อนหน้าที่ ธ.กลางสหรัฐฯ จะประกาศผลการตัดสินใจเรื่อง QE tapering ในวันที่ 22 ก.ย. นี้ ขณะที่ปัจจัยไม่แน่นอนด้านอื่นๆ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเพดานหนี้สาธารณะที่ใกล้เต็มอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งการที่สภาคองเกรสฯ กำลังพิจารณาการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลเป็น 26.5% จากปัจจุบันที่ 21%...ส่วนปัจจัยภายในประเทศนั้น ในสัปดาห์นี้ที่ประชุม ครม. น่าจะมีการพิจารณาเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของไทยจาก 60% เป็น 70% เพื่อรองรับการกู้เงินเพิ่มมาออกนโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2564 และต้นปี 2565 ซึ่งในระยะสั้นมากอาจกดดันให้ค่าเงินบาทอยู่ในเชิงอ่อนค่าต่อไป และสร้างความผันผวนให้กับฟันด์โฟลว์และดัชนีฯได้ ขณะที่เช้าวันนี้ ทางศบค. รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อฯอยู่ที่ 12,709 ราย เสียชีวิต 106 ราย และหายป่วยกลับบ้าน 11,125 ราย
หุ้นเด่นตามปัจจัยพื้นฐาน...แนะนำ เก็งกำไร 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ KBANK, GLOBAL, SA…โดย KBANK (เป้าพื้นฐาน 160 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 121 บาท/แนวต้าน 124 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ได้ประเมินมีโอกาสทดสอบกรอบแนวต้านถัดไป 126.5-129 บาท (Stop loss 119 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัว รวมทั้งประเมินนโยบายใหม่จากทาง ธปท. จะเป็นบวกต่อ KBANK* ในด้านการลดแรงกดดันจาก NPL ลด Credit cost 3) ฝ่ายวิจัยฯ คาด ROE จะฟื้นตัวต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า โดยคาด ROE ปี 2564-66 เท่ากับ 7.3% 7.5% และ 8.5% ตามลำดับ ซึ่งหากเป็นไปตามคาด PBV ของ KBANK* มีโอกาสจะทยอยถูก Re-rate ขึ้นจากปัจจุบันที่ต่ำเพียง 0.64 เท่า (ต่ำกว่า -1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีตที่ราว 0.8 เท่า)
GLOBAL* (เป้าพื้นฐาน 27 บาท) แนวรับ 21.1 บาท / แนวต้าน21.6-22.0 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 22.5 บาท (Stop loss 20.6 บาท) 2) ประเมินSentiment บวกจาก i) ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ยังยืนสูง… คาดมีโอกาสกำไรสต๊อกเหล็ก ii) Demand วัสดุก่อสร้างในประเทศ คาดจะเริ่มฟื้นตัวปลายปีนี้ - ปีหน้า หลังจากที่ผู้ประกอบการระบายสต๊อกบ้านไปมากแล้วใน 1-2 ปีที่ผ่านมา iii) รับ Sentiment บวก หลังการปรับมาตรการล็อกดาวน์ 3) Valuation ไม่แพง Forward PE ปี 2565 +/-30 เท่า(ค่าเฉลี่ยในอดีต = 31 เท่า) ขณะที่ Sentiment ต่างๆ กำลังจะกลับเป็นบวก
SA (เป้า Consensus 15 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 9.3 บาท /แนวต้าน 9.85-10.0 บาท (Stop loss 9.0 บาท…สำหรับนักลงทุนที่เคยซื้อตามที่เราแนะนำมาก่อนหน้ากำหนด Trailing stop 9 บาท เช่นกัน)2) ประเด็นสำคัญการลงทุน i) ธุรกิจอสังหาฯ Backlog ในมือ 4.8 พันล้านบาท บ้านพร้อมโอนมูลค่าราว 7 พันล้านบาท และเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 3 แห่ง มูลค่าราว 8 พันล้านบาท (แนวราบ 2/คอนโดฯ 1) ii) ธุรกิจโรงแรมและห้องเช่า ตั้งเป้าหมายขยายเป็น 1 พันห้อง ภายในปี 2568 (ปัจจุบัน 280 ห้อง) iii) ธุรกิจ F&B ตั้งเป้าหมายขยาย Cloud kitchen เพิ่มอีก 16 แห่ง ภายใน 2H64 (ปัจจุบัน 4 แห่ง) และจะขยายเป็น 200 แห่ง ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า iv) ธุรกิจ AMC (ซื้ออาคารที่เป็นหนี้เสียมา Renovate ขาย) คาดปิดดีลได้ใน 4Q643) เราประเมินธุรกิจอสังหาฯ + Hospitality (โรงแรมและ F&B) ของ SA รับ Sentiment บวกจากการเตรียมเปิดประเทศ
ที่มา : บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี