nn วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ถือว่าเป็นกระดูกสันหลังเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย เพราะมีจำนวนกว่า 3 ล้านรายคิดเป็นกว่า 90% ของเศรษฐกิจไทยทั้งระบบแต่ทุกวันนี้ก็ต้องยอมรับว่า SME ของไทยส่วนใหญ่ก็ยังอ่อนแอ เพราะเข้าไม่ถึงปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พวกเขาเติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน องค์ความรู้ในการบริหารจัดการที่ดี นวัตกรรมที่จะยกระดับคุณภาพการผลิต ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ยังนับว่าโชคดีที่ยังมีองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ เช่น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ที่มองเห็นจุดอ่อนของ SME ไทย และพยายามให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ในทุกมิติโดยหลายปีที่ผ่านมาได้ผนึกกำลังหลากพันธมิตรเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการและกิจกรรมดีๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยติดอาวุธด้านความรู้เสริมศักยภาพ SME ไทย
ล่าสุด จับมือกับพันธมิตรสำคัญ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดสัมมนาออนไลน์ “SME 3ก แกร่ง เก่ง กล้า” ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 โดยได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.วีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มาบรรยายพิเศษในหัวข้อ “SME Unlock : ปลดล็อกอนาคต SMEด้วยการ Reskills & Upskills” พร้อมเปิดเกณฑ์คุณสมบัติ SME ที่จะได้รับการสนับสนุนตามมาตรการของหน่วยงานภาครัฐ
ทั้งนี้ รศ.ดร.วีระพงศ์ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อ SME ในช่วงไตรมาส 2/2563 ซึ่งเป็นระยะแรกของการแพร่ระบาด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (GDP MSME) อยู่ที่ -17.1% ถือว่าต่ำสุดในรอบ 5 ปี (2560-2564) แต่เมื่อ SME เริ่มปรับตัวได้ประกอบกับได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมตรงจุด ทำให้ตัวเลขการฟื้นตัวของ GDP MSME ปี 2564 ขยายตัว 3.0%
สำหรับในปี 2565 สสว.ประมาณการว่า GDP MSME จะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 4.9%โดยมีปัจจัยบวกสนับสนุนหลากปัจจัย อาทิ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์โลก การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐอย่างต่อเนื่องตามแผน การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวภายใต้มาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นและการลงทุนที่มากขึ้นของภาคเอกชนตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของภาครัฐ
แม้ในปีนี้ SME ไทยจะมีปัจจัยหนุนในการเติบโต แต่ก็ยังคงมีปัจจัยลบอยู่ด้วยเช่นกัน อาทิ มีผลิตภาพที่ต่ำเกินไป มีจุดอ่อนด้านการพัฒนาดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจน้อย และมีหนี้สินจำนวนมาก ปัจจัยลบเหล่านี้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเติบโตของ SME รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะ SME มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ถึง 34.6% ซึ่งหมายความว่า หาก SME แข็งแรง ประเทศก็จะแข็งแรงด้วยเช่นกัน
สสว. ในฐานะหน่วยงานที่บูรณาการและผลักดันการส่งเสริม MSME จึงได้เร่งดำเนินการผลักดันแผนสนับสนุน SME โดยแบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลักๆประกอบด้วย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ และการขยายโอกาสทางการตลาด ซึ่งทั้ง 3 เรื่องหลักจะถูกขับเคลื่อนผ่านกลไกที่ สสว.อยู่หรือพัฒนาให้ดีขึ้น ประกอบด้วย1.ศูนย์กลางบริการข้อมูลสำหรับธุรกิจ (SME Portal) อย่าง SME ONE ศูนย์รวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ SME 2.การขยายผลโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS หรือ (Business Development Service) หรือเรียกง่ายๆ ว่าโครงการเอสเอ็มอีคนละครึ่งเพื่ออุดหนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาให้แก่เอสเอ็มอีแบบร่วมจ่าย (co-payment) ในสัดส่วนร้อยละ 50-80 ตามขนาดของธุรกิจ โดยเตรียมเปิดเฟส 2 ให้กับ SME ที่สนใจในวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 อนาคตให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น3.การปรับปรุงกฎหมายเพื่อสนับสนุน SME หรือออกกฎหมายใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้4.การส่งเสริม SME เข้าสู่ระบบ (Formalization) ประเทศไทยได้ชื่อว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบการนอกระบบเหล่านี้จะไม่ได้รับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือจากทางภาครัฐ 5.การสร้างความรู้พื้นฐานทางการเงิน (Financial Literacy) มี SME จำนวนไม่น้อยที่ไม่มีการวางระบบการเงิน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการกลุ่ม Microโดยทาง สสว.ได้ร่วมกับสมาคมธนาคารไทยและมหาวิทยาลัยราชภัฏ เพิ่มเนื้อหาความรู้ทางการเงินในการเรียนออนไลน์ (SME Academy) ตลอดจนจัดทำหลักสูตรพื้นฐานทางการเงินสำหรับ Micro โดยเฉพาะ
6.การขยายบทบาทการค้ำประกันสินเชื่อ ปัจจุบันระบบค้ำประกันสินเชื่อยังมีข้อจำกัด ทำให้การค้ำประกันยังมีปริมาณไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับวงเงินสินเชื่อทั้งหมด 7.การปรับ SME สู่การทำธุรกิจบนฐานดิจิทัล เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ 8.การยกระดับเทคโนโลยีนวัตกรรม นวัตกรรมจะช่วยทำให้สินค้าของผู้ประกอบการมีความแตกต่างช่วยเพิ่มมูลค่า 9.การสนับสนุนให้ SME เข้าถึงตลาดภาครัฐของสินค้ามูลค่าสูง ซึ่งตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปีซึ่งเราจะดำเนินการจัดทำรายชื่อ/รายการสินค้าและบริการในกลุ่มสินค้าเป้าหมาย พร้อมประสานหน่วยงานจัดซื้อ เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีของ SME 10.การเชื่อม SME เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Value Chain) เช่น การสนับสนุนข้อมูล เงินทุนในการเข้าสู่เวทีโลก
รศ.ดร.วีระพงศ์ ยังกล่าวเสริมอีกว่า ผู้ประกอบการที่รู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนอะไร หรือมีส่วนไหนที่ต้องพัฒนาก็ควรเร่งดำเนินการ Reskills และ Upskills เช่น เพิ่มช่องทางการขาย จัดทำระบบการเงินเพื่อเป็นข้อมูลในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน พัฒนากระบวนการผลิตใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการจะขับเคลื่อนแผนงานให้เป็นไปตามเป้าหมายได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อถ่ายทอดให้กับผู้ประกอบการ SME ในการสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ และงานสัมมนา “SME 3ก แกร่ง เก่ง กล้า”เป็นอีกหนึ่งช่องทางและกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
สำหรับในปี 2565 ศูนย์ 7 สนับสนุน SME จะจัดสัมมนา “SME 3 ก แกร่ง เก่ง กล้า” จำนวน 6 ครั้ง ครอบคลุมเนื้อหา 6 เรื่องหลัก ได้แก่ภาพรวมแนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจ มาตรการและการสนับสนุนภาครัฐ การหาแหล่งเงินทุน การเตรียมความพร้อมสู่การขายในช่องทางโมเดิร์นเทรด การปรับตัวของเอสเอ็มอีต่อการแข่งขันในแพลตฟอร์มออนไลน์และการแบ่งปันประสบการณ์จากผู้ประกอบการ SMEที่ประสบความสำเร็จ โดยผู้ประกอบการ SME สามารถติดตามข่าวสารต่างๆ ตลอดจนการจัดสัมมนาได้ที่https://www.facebook.com/7smesupport หรือติดต่อขอรับคำปรึกษาโดยตรงได้ที่ 0-2826-7750
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี