ในปีพ.ศ. 2516 ศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา(Supreme Court) ได้มีคำพิพากษาชื่อ “Roe v Wade” คดีระหว่างโรกับเวด ผู้ร้อง คือ เจน โร กับพวก และผู้ถูกร้อง คือ เฮนรี เวด อัยการเขตเทศมณฑลดัลลัส สาระแห่งคดี คือขอให้ศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา วินิจฉัยว่า กฎหมายทำแท้งของรัฐเท็กซัส ซึ่งห้ามการทำหรือพยายามทำแท้ง เว้นแต่มีคำแนะนำทางการแพทย์เพื่อช่วยชีวิตของมารดา ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่จนที่สุด ศาลได้มีคำพิพากษาให้ความคุ้มครองเสรีภาพของหญิงมีครรภ์ในการเลือกทำแท้งได้ โดยปราศจากข้อจำกัดของรัฐบาลเกินควร
คดี Roe v Wade ศาลสูงสุดมีมติด้วยเสียง 7 ต่อ 2 ชี้ว่าการยุติการตั้งครรภ์ของผู้หญิงเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ คำตัดสินนี้ให้สิทธิแก่ผู้หญิงในการยุติการตั้งครรภ์ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ แต่ยอมให้สิทธิโดยมีข้อจำกัดในระยะที่สอง และห้ามยุติการทำแท้งในระยะที่สามของการตั้งครรภ์
คำพิพากษาคดีดังกล่าวใช้บังคับมาร่วม 5 ทศวรรษ จนเมื่อกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 ผู้หญิงนับล้านคนในสหรัฐฯ จะต้องสูญเสียสิทธิในการยุติการตั้งครรภ์ เมื่อศาลสูงสหรัฐฯ ได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาคดี Roe v Wade โดยศาลสูงได้พิจารณาคดี Dobbs v Jackson ซึ่งเป็นคดีที่องค์กรดูแลสุขภาพสตรี (Women’s Health Organization) ได้คัดค้านคำสั่งของรัฐมิสซิสซิปปี ที่ห้ามการทำแท้งหลังมีอายุครรภ์ครบ 15 สัปดาห์ แต่ศาลสูงสุดซึ่งผู้พิพากษาส่วนใหญ่เป็นสายอนุรักษ์ มีมติด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ยกเลิกสิทธิตามรัฐธรรมนูญสำหรับการทำแท้งในสหรัฐฯ ในขณะที่ผู้พิพากษาสายเสรีนิยม 3 ราย ลงมติสนับสนุน
หลังจากที่ได้มีการตัดสินคดีนี้ได้เกิดการประท้วงอย่างน้อย 70 แห่งทั่วทั้งสหรัฐฯ ในแอตแลนตา ซานฟรานซิสโกบอสตัน ลอสแองเจลิส นิวยอร์ก และฮิวสตัน เพื่อคัดค้านคำตัดสินของศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา ที่ล้มล้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญสำหรับการทำแท้ง นอกจากนี้ สถาบัน Guttmacher Institute ที่สนับสนุนทางเลือกให้สตรีมีสิทธิทำแท้ง ได้ประเมินว่า จะมีรัฐไม่ต่ำกว่า26 แห่ง ส่วนใหญ่จะอยู่ทางใต้และตะวันตกตอนกลางหรือเขตมิดเวสต์ เตรียมออกกฎห้ามทำแท้ง ซึ่งหมายความว่าผู้หญิงหลายล้านคนในสหรัฐฯที่ต้องการทำแท้ง จำเป็นต้องเดินทางข้ามรัฐ ไปยังเขตที่สิทธิการทำแท้งได้รับการคุ้มครอง
ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อคำตัดสินของศาล ทั้งยังกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลสหรัฐจะดำเนินการทุกอย่าง เพื่อปกป้องสิทธิในการทำแท้ง พร้อมกับเรียกร้องให้ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่สนับสนุนการใช้สิทธิทำแท้งตามรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้งกลางเทอม ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565
สำหรับอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถือได้ว่าเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ ร่วมม็อบต้านทำแท้ง โดยขึ้นเวทีปราศรัย “March for Life”การเดินขบวนเพื่อต่อต้านการทำแท้ง เมื่อปีพ.ศ. 2563 โดย ทรัมป์ ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนการเคลื่อนไหวดังกล่าวซึ่งเป็นการปกป้องสิทธิของเด็กทุกคน ทั้งที่เกิดมาแล้ว และยังไม่เกิด สำหรับอดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนและ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช จากพรรครีพับลิกัน เคยเพียงปราศรัยผ่านระบบสื่อสารทางไกลกับผู้ร่วมงานเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม Gallup Poll ได้ออกสำรวจความเห็นของประชาชนในสหรัฐฯ ผลออกมาปรากฏว่า ร้อยละ 55 ของคนอเมริกัน มีความเห็นว่าตนเองอยู่ในกลุ่มสนับสนุนให้สตรีมีทางเลือกต่อการทำแท้ง
ระบบกฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นระบบกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือระบบคำพิพากษาของศาล เมื่อศาลมีคำพิพากษาถือเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับ โดยไม่จำเป็นต้องเสนอกฎหมายผ่านรัฐสภาสำหรับกฎหมายที่เป็นเรื่องทั่วไป กฎหมายระบบนี้เรียกว่า Common Law
ระบบกฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงแตกต่างจากระบบกฎหมายในประเทศไทย ที่เป็นระบบลายลักษณ์อักษร กฎหมายที่ใช้บังคับต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา กฎหมายระบบนี้เรียกว่า Civil Law
กฎหมายทำแท้งของไทย เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 “หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
มาตรา 302 “ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตายผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”
จะเห็นได้ว่าทั้งหญิงและผู้ที่ทำให้หญิงแท้งลูกต่างมีความผิด ส่วนอัตราโทษมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับผลภายหลังจากการทำแท้ง ว่าหญิงได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย
อย่างไรก็ตาม มาตรา 305 ได้กำหนดข้อยกเว้นความผิดไว้ 2 กรณี คือ (1) กรณีการทำแท้งมีความจำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิง และ (2) กรณีที่หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่กฎหมายกำหนด คือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น และความผิดฐานพาบุคคลไปเพื่อการอนาจาร
นอกจากนี้ ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ ตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มีสาระสำคัญ
กำหนดให้แพทย์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ในกรณีต่อไปนี้คือ (1) กรณีหญิงมีครรภ์มีปัญหาสุขภาพกาย (2) กรณีหญิงมีครรภ์มีปัญหาสุขภาพจิต (3) เมื่อทารกในครรภ์มีความพิการอย่างรุนแรงหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคพันธุกรรมที่รุนแรง และหญิงนั้นมีความเครียด และ(4) กรณีหญิงถูกข่มขืน ทั้งนี้ แพทย์ที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวถือว่าได้กระทำตามมาตรา 305 ประมวลกฎหมายอาญาและถือว่าไม่มีความผิด
เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 305และข้อบังคับแพทยสภาฯ พบว่า เหตุยกเว้นความผิดฐานทำแท้งไม่ครอบคลุมถึงกรณีการตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม เช่น การตั้งครรภ์ในวัยเรียน ตั้งครรภ์ที่เกิดจากความผิดพลาดของการคุมกำเนิด หรือการตั้งครรภ์ในขณะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ
การทำแท้งแม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้ทำได้ตามกฎหมาย เพราะมีเหตุเป็นกรณีพิเศษ ยังถือว่าเป็นการทำลายชีวิตน้อยๆ ลงไป ทางที่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์โดยไม่พึงปรารถนา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี