เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบในหลักการ ร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชงพ.ศ. .... เข้าสู่สภานิติบัญญัติ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้น ของการพิจารณากฎหมายที่ใช้บังคับเกี่ยวกับกัญชา กัญชงอย่างเป็นทางการ
ในร่างกฎหมายนี้ มีเนื้อหากำหนดกลไกควบคุมการผลิตและใช้ประโยชน์จากพืชกัญชา กัญชง ซึ่งเดิมถูกกำหนดให้เป็นยาเสพติดประเภท 5 ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แต่ปัจจุบันไม่ถือเป็นยาเสพติด
เมื่อกัญชา กัญชง ไม่ถือเป็นยาเสพติดอีกต่อไป จึงมีผลให้นักโทษที่อยู่ในเรือนจำในคดีกัญชา กัญชง ได้รับการปล่อยตัวทันทีเป็นจำนวนหลายหมื่นคน
ร่างกฎหมายนี้ได้กำหนดกลไกควบคุมการผลิตและใช้ประโยชน์ กัญชา กัญชง โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นหนึ่งในกลไกควบคุมกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ ซึ่งรวมถึงสารเสพติด THC หรือสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol: THC มีฤทธิ์สร้างความผ่อนคลาย ลดอาการเครียด) ที่สกัดได้จาก พืชกัญชา (cannabis) และกัญชง (hemp)
ก่อนหน้านี้ได้มีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ปลดล็อก (ทางกฎหมาย) เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2563) ยกเว้นให้ พืชกัญชาและกัญชง ที่ปลูกในประเทศ ไม่ถือเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 อีกต่อไป แต่สาร THC ในพืชกัญชาและกัญชงจะต้องมีปริมาณไม่เกิน 0.2 % หรือ 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
หลักการในเรื่อง กัญชา กัญชง ดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมุ่งที่จะใช้ในทางการแพทย์ เป็นหลัก ไม่ได้ มุ่งที่จะให้ใช้ในการสันทนาการ หรือเพื่อความบันเทิง และยังอนุญาตให้ใช้ในการประกอบอาหาร เพื่อขายได้ เราจึงพบเห็น อาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา ขายในรูปแบบต่างๆ เช่น อาหารคาวที่ ปรุงขายในร้านบางแห่ง ขนม ไอศกรีม คุกกี้ เครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งรวมทั้ งชา กาแฟ
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ทั้งผู้ขายและผู้บริโภค ไม่มีโอกาสทราบอย่างชัดเจนว่า สินค้าดังกล่าวจะมีปริมาณ THC เกิน 0.2 % หรือไม่ เพราะไม่มีอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่จะตรวจวัดได้อย่างชัดเจน ในทันทีคล้ายกับอุปกรณ์ ATK ที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น จึงได้แต่เพียงกะประมาณการว่า ไม่ควรจะใส่ กัญชา กัญชง ในปริมาณที่มากเกินไป
ที่ผ่านมาจึงปรากฏข่าวว่า มีทั้งเด็ก เยาวชน รวมทั้งผู้ใหญ่ ที่ทานอาหารและขนม เช่น คุกกี้ ฯลฯ ที่มีส่วนผสมของกัญชา แม้อาจจะทานไม่มาก แต่เกิดอาการแพ้ และเมาอย่างมาก ถึงขั้นสลบไสลจนต้องส่งโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ยังอาจเกิดอันตราย เมื่อผู้ขับขี่ยานพาหนะทานอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชามากเกินไป ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าการดื่มแอลกอฮอล์ที่เกินกว่าปริมาณควบคุม
ปัจจุบันมีองค์กรที่มีห้องปฏิบัติการมาตรฐานสามารถตรวจหาค่าปริมาณ THC แยกตามประเภท ผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง น้ำมันกัญชา สารสกัดกัญชา และต้นพืชกัญชา ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจำนวน 71 แห่ง (ข้อมูลกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2564)
แต่ในความเป็นจริง ถือว่ายังไม่สะดวกแก่ ประชาชนและผู้บริโภคโดยทั่วไป เพราะต้องส่งตัวอย่างไปให้ตรวจอย่างเป็นทางการ และต้องรอผลการตรวจ ในทางปฏิบัติไม่สามารถจะทราบหรือรู้ผลหน้างานได้ทันที
ในเวลาต่อมาได้มีการออกประกาศ(ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 ลว. 16 มิถุนายน 2565) กำหนดแนวปฏิบัติควบคุมการนำส่วนต่างๆ ของพืชกัญชา (เช่น เปลือก ลำต้น ใบ (ซึ่งต้องไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย) เส้นใย กิ่งก้าน และราก) ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการใช้กรณีดังกล่าวต้องไม่เกินขอบเขตที่ประกาศนี้กำหนด ซึ่งรวมไปถึง กัญชง เช่นเดียวกัน
การนำไปใช้ส่วนบุคคลเพื่อเสพในที่สาธารณะยังคงเป็นเรื่องห้ามตามกฎหมาย แต่สามารถมีไว้ในครอบครองและใช้เพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วยเท่านั้น รวมถึงการนำไปใช้ในการประกอบอาหารเครื่องดื่ม จะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม(ค่าปริมาณ THC ต้องไม่เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก) และต้องประกาศหรือแจ้งให้ลูกค้าทราบอย่างชัดเจนว่า อาหารหรือเครื่องดื่มใดมี กัญชา กัญชงเป็นส่วนประกอบ
เงื่อนไขด้านคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตปลูกเพื่อผลิต ในกรณีของเกษตรกรทำการปลูกกัญชา กัญชงจะต้องเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมกับหน่วยงานรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์ในการทำวิจัยหรือทางการแพทย์เท่านั้น
ผู้ประสงค์จะครอบครอง จำหน่าย นำเข้า พืชกัญชา กัญชง (ช่อดอก เมล็ดพันธุ์) จะกระทำได้แต่ต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
ผู้ประสงค์จะจำหน่ายสารสกัดน้ำมันกัญชาต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ ต้องใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น
ผู้ประสงค์จะจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็น เมล็ด หรือการเพาะต้นกล้ากัญชาหรือกัญชงในประเทศ ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร ตาม พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 เพราะถือเป็นพันธุ์พืชควบคุม ยกเว้นกรณีปลูกเองแล้วตัดกิ่งขายโดยไม่มีการโฆษณาหรือติดเครื่องหมายการค้าเท่านั้น
ล่าสุดได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) ฉบับใหม่ ที่กำหนดควบคุมช่อดอกกัญชา ห้ามขายกัญชาให้นักเรียนนักศึกษา ห้ามขายออนไลน์ ห้ามโฆษณาทุกกรณี โดยมีหลักการกำหนด เฉพาะส่วนของช่อดอก เป็นสมุนไพรควบคุม
แม้หลักการตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขนี้จะดูดี แต่ถือว่ามีผลบังคับช้าไปพอสมควร เพราะน่าจะมีกฎหมายที่บังคับใช้ก่อนหน้านี้นานแล้ว
เรื่อง กัญชา กัญชง ได้กลายเป็นเกมทางการเมือง เพราะถือว่าเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยตั้งแต่เริ่มแรก ที่พยายามผลักดันเรื่องนี้ จึงต้องทำผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม แม้ว่าจะเร่งด่วนจนเกินไป จนดูให้เห็นว่าเป็นผลงาน จึงน่าจะเป็นผลให้พรรคภูมิใจไทยได้รับคะแนนเลือกตั้งมากขึ้นกว่าเดิม
ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เริ่มมีความคิดว่า น่าจะกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โดยให้แก้ไขกฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้อง ให้กัญชา กัญชง กลับมาอยู่ในบัญชียาเสพติดก่อน จึงค่อยเริ่มพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง ที่ถือเป็นกฎหมายหลัก ที่ควบคุมกัญชา กัญชง
ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลดังกล่าว ถูกมองว่าเป็นเกมการเมือง เพื่อไม่ให้พรรคการเมือง บางพรรคได้คะแนนเสียงมากเกินไป สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่ใกล้จะถึงนี้
ในความเป็นจริง การดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายเรื่อง กัญชา กัญชง ควรที่จะให้สภานิติบัญญัติพิจารณาออกกฎหมายให้เสร็จสิ้นก่อน จึงค่อยถอดกัญชา กัญชง จากบัญชียาเสพติด และที่ผ่านมาเป็นการเร่งเพื่อให้เห็นว่า ได้ดำเนินการทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้
ไม่ว่าผลทางกฎหมายในขณะนี้ เกี่ยวกับกัญชา กัญชงจะเป็นอย่างไร แต่ในความเป็นจริง การใช้กัญชา กัญชง เพื่อสันทนาการที่บ้าน ยังเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี