ผลการสำรวจความต้องการของประชาชนหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “โพลล์” (poll) เป็นการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในสังคมว่า มีความคิดเห็นอย่างไร ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี จะเลือกพรรคการเมืองใดให้จัดตั้งรัฐบาล จะเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งการแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับสินค้าและบริการด้วย
ผลสำรวจความต้องการของประชาชนที่เกี่ยวกับ “การเลือกตั้งผู้แทนทางการเมือง” นับเป็นการ “เลือก”สำคัญที่จะกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตและการพัฒนาประเทศตามวิถีประชาธิปไตย
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความหมายของคำว่า “โพลล์” ต่างกับคำว่า “โผ” (ในภาษาไทย)โดยสิ้นเชิง(ขอเรียก ผลสำรวจที่ว่านี้สั้นๆ ว่า “ผลสำรวจโพลล์”)
ผลการสำรวจโพลล์ จะน่าเชื่อถือเพียงพอให้ใช้เป็นเครื่องมือ ตัดสินใจ ในการเลือกตั้งหรือไม่นั้น คงจะต้องพิจารณาจากปัจจัย 3 ประการมาเป็น
ส่วนประกอบ ประการแรก ผู้ทำโพลล์มาจากสำนักไหน?(เพราะในประเทศไทยเองก็มีผู้ทำผลการสำรวจโพลล์หลากหลายสำนัก อาทิ นิด้าโพล เอแบคโพลสวนดุสิตโพล หรือบ้านสมเด็จโพลล์ เป็นต้น)ประการที่สอง วิธีการทำโพลล์ทำอย่างไร? (ดูถึงลักษณะคำถามของแบบสำรวจ และกลุ่มคนที่เขาทำการสำรวจ) และประการสุดท้าย ใครเป็นผู้จ้างสำนักดังกล่าวให้ทำโพลล์ (อันนี้จะเป็นปัจจัยที่บ่งชี้เลยว่า ผลของโพลล์มีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร คะแนนผลสำรวจที่ออกมาจะมีลักษณะเป็น โพลล์ หรือโผ ของสำนักสามารถดูได้จากตรงนี้)
ไม่ว่าผลสำรวจโพลล์ของแต่ละสำนักจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด การเผยแพร่ข้อมูลของผลการสำรวจโพลล์ให้เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณชน มีผลเป็นการได้เปรียบเสียเปรียบในวงการเลือกตั้งเช่นกัน จนในประเทศไทยและบางประเทศต้องออกกฎหมายที่มีบริบทจำกัดการเปิดเผยหรือเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนกันเลยทีเดียว
กรณีของประเทศไทย มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 บัญญัติมาตรการป้องกันมิให้ผู้ซึ่งมีเจตนาไม่สุจริตทำการเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน อันมีลักษณะชี้นำให้ประชาชนทั่วไปไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดผู้หนึ่ง หรือเปิดเผยหรือเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนในระหว่างเจ็ดวันก่อนวันเลือกตั้ง จนถึงเวลาปิดการออกเสียงลงคะแนน โดยมีการกำหนดโทษทางอาญาทั้งจำทั้งปรับ (จำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)(มาตรา 72 และมาตรา 157)
กรณีของประเทศสิงคโปร์ มีกฎหมายการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. 2544 (The Parliamentary Elections Act, 2001) กำหนดห้ามการเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด (restricts) ตลอดระยะเวลาการเลือกตั้งทั้งหมด ผู้ฝ่าฝืนโทษปรับไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์(ประมาณ 580 ดอลลาร์สหรัฐ) และ/หรือจำคุกสูงสุด 12 เดือน
กรณีของประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันไม่มีกฎหมายห้ามหรือจำกัดสิทธิในการเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากประชาชนมีความเข้าใจและเชื่อมั่นในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาที่มีความชัดเจนและเข้มแข็ง แม้จะเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางการอย่างรุนแรงของสาธารณชน และการรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้อง จนทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2543 เกิดความสับสนวุ่นวายก็ตาม
กรณีของประเทศออสเตรเลีย ไม่มีกฎหมายจำกัดหรือห้ามการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งเช่นกัน (ยกเว้นรัฐวิกตอเรีย) เพราะสื่อของออสเตรเลียไม่เชื่อถือผลสำรวจความคิดเห็นการเลือกตั้งเนื่องจากมีประสบการณ์เลวร้ายในอดีตจากผลลัพธ์ที่ผิดพลาด จากการรายงานผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการที่เร่งด่วนจนเกินไป
จะเห็นได้ว่า การเชื่อถือผลการสำรวจของโพลล์ และนำมาใช้ในการเลือกตั้งนั้น ประชาชนคงจะต้องพิจารณาข้อมูลจากหลายๆ โพลล์มาประกอบกัน จะยึดถือข้อมูลจากโพลล์ของสำนักใดเพียงที่เดียวนั้น มีความเสี่ยงสูง ที่ทำให้ผู้เลือกมีโอกาสพลาดสูง
หากเปรียบเทียบกับการทำโพลล์ หรือสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งไม่จำเป็นต้องถามความเห็นของทุกๆ คน ก็พอจะได้แนวทางว่า คนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเป็นอย่างไร
โดยเปรียบเทียบกับการชิมแกงหม้อใหญ่ ไม่จำเป็นต้องทานแกงทั้งหม้อให้หมด ถึงจะตอบได้ว่า แกงหม้อนั้นมีรสชาติอย่างไร เพียงแค่ตักแกงขึ้นมา 1 ช้อนแล้วชิม หากได้คนให้แกงมีรสชาติเข้ากันทั้งหมด แกงเพียงแค่ 1 ช้อนจะสามารถตอบได้ว่า แกงหม้อนั้นมีรสชาติอย่างไร
แต่หากไม่ได้คนให้แกงมีรสชาติ เข้ากันทั้งหมด เมื่อนำช้อนไปตักแกงในหม้อส่วนที่เป็นพริก แล้วชิมจะรู้สึกว่าเผ็ด หรือในส่วนที่ใส่น้ำปลา แล้วชิมจะรู้สึกว่าเค็ม คล้ายกับการถามความเห็นจากกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว ไม่ได้ถามจากกลุ่มคนหลายหลายกลุ่มที่มีอยู่ในสังคม
การเลือกตั้งก็เช่นเดียวกัน หากเราเชื่อถือเพียงผลสำรวจจากโพลล์เพียงสำนักเดียว โดยไม่ได้ดูผลสำรวจของสำนักอื่นประกอบ หรือดูเพียงผลการสำรวจโพลล์ทุกสำนักประกอบแล้ว แต่ไม่ได้ดูคุณสมบัติหรือประสบการณ์ของพรรคการเมืองหรือผู้สมัครที่เราเลือกมาประกอบตัดสินใจ อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิด
ประชาธิปไตย เป็นการรับฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่หากประชาชนส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกผิด ต้องยอมทนรับผลการตัดสินใจที่ผิดนั้น จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี