โลกธุรกิจ/หน้า7/เศรษฐกิจ
พุธที่ 1 ตุลาคม 2568“กลุ่มเคมีภัณฑ์ฟื้นตัว”
บริษัทหลักรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)สรุปประเด็นจากการเยี่ยมชมโรงงานของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ที่จ.ระยองประกอบด้วย i) โรงงานโอเลฟินส์ มาบตะพุด (MOC) ii) บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม (NPI) และ iii) ศูนย์นวัตกรรม (Idea to Product: i2P)
SCC ตอกย้ำกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง(HVA) มีสัดส่วนรายได้ 60% รวมถึงโซลูชันบริการช่วยให้คงอัตรากำไรได้ดีแม้อุตฯเคมีภัณฑ์เป็นช่วงขาลง ไฮไลท์โรงงาน MOC แสดงให้เห็นว่าการใช้วัตถุดิบโอเลฟินส์ต้นน้ำ (Naphtha, LPG และ Ethane) มีความยืดหยุ่นดีและการนำระบบดิจิทัลมาช่วยลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพของNPI หนุนความเป็นผู้นำของSCC ในผลิตภัณฑ์ PVC และอุปกรณ์ไวนิล (20% ของรายได้ปิโตรเคมี) โดยใช้หุ่นยนต์และAI เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ขณะที่ i2P แสดงถึงความสามารถด้านR&D และโซลูชัน ทำให้ผลิตภัณฑ์HVA และ Green Polymer มีพรีเมี่ยมอยู่ที่ US$100-150/ton สะท้อนการยกระดับพอร์ตไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูงแข่งขันได้ดี
บริษัทลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) เริ่มดำเนินการ 20 สิงหาคม 2568 ด้วย utilization rate ที่ 90% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม น่าจะเกิดค่าใช้จ่ายตอนเริ่มต้นUS$10 เพิ่มเติมจากขาดทุนจากการดำเนินงานรายไตรมาสปกติราว3 พันล้านบาท การเพิ่มกำลังการผลิตคาดเกิดจากการฝึกอบรมพนักงานล่วงหน้าก่อนอัพเกรดโรงงานปี 2570 เพื่อใช้วัตถุดิบ 1 ล้านตันจากแนฟทาไปเป็นอีเทนคาดว่าจะลดต้นทุนผลิตUS$250/ton (8.5 พันล้านบาท) LSP วางแผนจะเริ่มดำเนินการเพียงสามเดือน แต่เราเชื่อว่ามีโอกาสหยุดผลิตอีกครั้งหากspread โอเลฟินส์ยังลดต่อเนื่อง
แม้อุตฯเคมีภัณฑ์จะอยู่ในขาลงจากอุปทานส่วนเกินแต่ล่าสุดธุรกิจเคมีภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวขณะที่ spread ของ PE ได้ลดลงที่ US$300-330/ton ยังคงต่ำกว่าต้นทุนเงินสดของโอเลฟินส์ทั่วโลกที่ US$350-370/ton การลดกำลังการผลิตและการปิดโรงงานยังเกิดขึ้นทั่วโลก แต่อุปทานใหม่จากจีนยังเข้ามา อย่างไรก็ดีกำไรหลักSCC หนุนจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ซึ่งได้ประโยชน์จากกลยุทธ์ที่เน้นตลาดในประเทศทั้งเวียดนามและอินโดนีเซีย รวมถึงธุรกิจปูนซีเมนต์จากการขึ้นราคาตั้งแต่ 1 มีนาคม 2568 และการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล
ราคาหุ้น SCC พุ่งขึ้น33% สะท้อนถึงความหวังการฟื้นตัวแต่spreadต่างๆ ที่อ่อนตัว, กำไรหลัก 3Q68F น่าจะชะลอตัวจากการไม่มีเงินปันผลและขาดทุนเพิ่มจาก LSP ชี้ว่ามี upside จำกัด แต่เก็งกำไรได้จากข่าวปิดและควบรวมโรงงานในต่างประเทศBloomberg consensus ให้คำแนะนำ SCC ที่ ซื้อ/ถือ/ขาย (36%/43%/19%) หลังตลาดลดกำไรปี 2568F-69F YTD ลง 40-50% ตลาดคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1.09 หมื่นล้านบาท (+72% ) ในปี 2568F และ 1.28 หมื่นล้านบาท (+17% ) ในปี 2569F
ปัจจัยเสี่ยงจากการปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, อุปทานเกิน, ปัญหา cost overruns และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ที่มา..บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี