“เกษรพลาซ่า” ชื่อที่เราคุ้นเคยได้ปรับปรุงให้ดูร่วมสมัยเป็นโฉมหน้าโครงการครั้งใหญ่ เปลี่ยนจากศูนย์การค้าเป็นหมู่บ้านแห่งวิถีชีวิตใหม่ในใจกลางเมืองชื่อ “เกษร วิลเลจ”
โดยไม่ได้เปลี่ยนเพียงชื่อ แต่เปลี่ยนทั้งโครงการโดยเชื่อม 3 อาคารเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ ศูนย์การค้าเกษรเดิม เกษรทาวเวอร์ (ที่กำลังสร้างอยู่ด้านข้าง) และอัมรินทร์พลาซ่า เป็นการเพิ่มพื้นที่วิถีชีวิตสมัยใหม่ให้มากขึ้นถึง 3 เท่า ทั้งส่วนที่เป็นศูนย์การค้า สำนักงานให้เช่า และพื้นที่ส่วนกลางที่จะทำให้ชุมชนแห่งใหม่นี้ตอบสนองการใช้ชีวิตในแบบ “คนเมือง” ให้ครบทุกมิติ ทั้งหมดจะถูกเชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยทางเดิน “เกษรวอล์ค” อีกทั้งเรียกทั้งอาณาจักรนี้ว่า “Gaysorn Village” โดยเปลี่ยนโลโก้ใหม่เป็นรูปตัว g ที่สอดคล้องกับเครื่องหมายอินฟินิตี้และนาฬิกาทรายอันสื่อถึงการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าที่ยาวนานไม่สิ้นสุด
“Gaysorn Food Village” จึงเกิดเป็นปรากฏการณ์ความอร่อยกับ 13 ร้านอาหารชื่อดังโดยการสรรหาร้านอาหารด้วยความพิถีพิถัน เปี่ยมด้วยบุคลิกอันแหลมคมสำหรับคนกรุง และเหล่านักชิมที่มีรสนิยม ด้วยการรวบรวมอาหารรสเลิศและความหลากหลายเพื่อวัฒนธรรมการกินดื่มอีกมิติของการใช้ชีวิตเมืองอย่างครบครัน จึงขอแนะนำเป็นตัวอย่างสัก 6 ร้าน
J. Du Pont On The Rock จับคู่กับซิการ์
(DUKE)
DUKE (ดุ๊ก)
รวบรวมสก็อตวิสกี้ชั้นเยี่ยมไว้กว่า 200 ชนิด หลายชนิดที่ไม่เคยเห็นและชิมมาก่อน เช่น Michel Couvreur Whisky อีกทั้งมีคอนญักหายาก J.Dupont Cognac,Armagnac Gelas ให้ลิ้มรสที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ตามด้วย คาวาโดส Calvados Le Compte เหล้าบรั่นดีแอปเปิ้ลจากนอมังดี มีรสหอมละมุนด้วยคำแนะนำของซอมเมอลิเยร์มืออาชีพ
ยังมีห้องสูบซิการ์ “Cigar Lounge” ด้วยประตู 2 ชั้น ป้องกันควันและกลิ่นไม่ให้เล็ดลอดออกมาด้านนอก ทางร้านยังจัดเตรียมซิการ์คุณภาพดีจาก Davidoff ให้เลือกหลายชนิด หลากขนาด
นอกจากนี้ที่นี่มีระบบสมาชิกในวงเงินต่างๆ สำหรับการกินดื่มหักเงินโดยไม่มีค่าสมาชิก ทั้งนี้ยังจะได้รับส่วนลดตามมูลค่าบัตรอีกด้วย
อยู่ชั้น 1 เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00 -24.00 น.โทร.094-6478888
ข้าวตังหน้าตั้งแขก
(PASTE)
PASTE (เพสต์)
ร้านอาหารไทยรูปแบบทันสมัยแม้จะออกนอกกรอบบ้าง แต่ยังคงกลิ่นอายอาหารไทยดั้งเดิมอย่างเต็มเปี่ยม เป็นสำรับกับข้าว ที่ริเริ่มสรรค์สร้างจากรากฐานของความเข้าใจในอาหารไทย ถึงแก่นแท้ของตำรับอาหารไทยดั้งเดิมอย่างแท้จริง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของร้าน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำพาอาหารไทยออกสู่สากล ยกระดับอาหารไทยให้ได้มาตรฐานร้านอาหารชั้นเลิศที่ได้สืบสานจากต้นตำรับอาหารไทย ผสมผสานเทคนิคในการปรุงอาหารสมัยใหม่ของวงการอาหารตะวันตก โดยนำสูตรอาหารของต้นตระกูลที่มีชื่อเสียงในการทำอาหาร อาหารแต่ละจานของที่นี่จึงมีรายละเอียดที่ลึกซึ้ง ตั้งแต่ขั้นตอนในการคัดสรรวัตถุดิบพิเศษสุดในแต่ละฤดูกาลจากแหล่งกำเนิด อาทิ วัตถุดิบหลายรายการที่ส่งตรงมาจากป่าตามเทือกดอยยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่สะท้อนถึงความลึกซึ้งคือ มีส่วนผสมมากกว่า 50 ชนิดอันซับซ้อน ทำให้เกิดรสชาติหลากหลายระดับชั้นละเมียดละไม จนสามารถสัมผัสและรับรู้ถึงรสชาติของสมุนไพรและกลิ่นที่ส่งผ่าน ซึ่งเป็นการรังสรรค์โดยเชฟ ผู้มีประสบการณ์ในการทำอาหารอย่างมืออาชีพมานานกว่า 15 ปี
บรรยากาศในร้านโปร่งโล่งและสว่างไสว ด้วยการออกแบบตกแต่งแบบไทยร่วมสมัย เน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติ อาทิ รังไหมซึ่งเป็นตัวแทนของพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ ช่วยเสริมประสบการณ์ในการรับประทานอาหารอันยอดเยี่ยมอย่างไม่มีวันลืม พร้อมด้วยเมนูโดดเด่นที่ไม่ควรพลาด อาทิ หน้าตั้งแขก ปรุงด้วยเป็ดย่างคลุกเคล้ากับเครื่องแกงและสมุนไพรนานาชนิด เสิร์ฟบนข้าวตังทอดกรอบ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากตำราสายสนิทวงศ์ปลาแซลมอนสมุนไพรและแตงโม เพิ่มรสชาติแห่งความสดชื่นด้วยชิ้นแตงโมขนาดพอดีคำที่เคียงคู่มากับปลาแซลมอนแห้ง เป็นการดัดแปลงวัตถุดิบจากอาหารต้นตำรับของสมัยรัชกาลที่ 1 สาคูไส้ปลาเทราต์จากโครงการหลวง ต้มยำเม็ดขนุนและขาหมูโบราณใส่หอมแดงเผา แกงปูกับพริกไทยดำใส่ดอกแคและใบชะคราม แสร้งว่ากุ้งมังกรที่ปรุงรสด้วยน้ำมะกรูดผสมน้ำส้มคั้น ตัดกับสีเขียวของสาหร่ายไก่อบกรอบได้อย่างลงตัว เมนูใหม่อย่างเช่นน้ำพริกถั่วลิสงคั่วจากเผ่าไทยใหญ่ จังหวัดน่าน เสิร์ฟกับปลาทูแม่กลองเกล็ดปลาทอดกรอบและปลาข้าวสาร หมูออร์แกนิก ย่างกับเมล็ดเฟนเนลและน้ำผึ้งป่า เสิร์ฟกับน้ำพริกมะเขือเผา
อาหารอย่างอื่นก็ทำออกมาดีมาก แม้จะมีกรรมวิธีที่สมัยใหม่แต่รสชาติคงความเป็นไทยได้ดีเยี่ยมไม่ผิดเพี้ยน
อยู่ชั้น 3 เปิดบริการทุกวัน เวลา 12.00-14.00 น. และ 18.30-23.30 น. โทร.02-6561003
แก้วไวน์จากเยอรมันที่สืบทอดมา 260 ปี
(Riedel Wine Bar & Cellar)
Riedel Wine Bar & Cellar
(รีเดล ไวน์ บาร์ แอนด์ เซลลาร์)
“RIEDEL” ตำนานผู้ผลิตแก้วไวน์จากแคว้นโบฮีเมีย ด้วยความเชี่ยวชาญมายาวนานกว่า 260 ปี คัดสรรความวิจิตรพิสดารสไตล์อย่างมีศิลปะด้วย “Exclusive Artisan Wine” มากกว่า 200 แบบ พร้อมด้วยเมนูไวน์เสิร์ฟแก้วต่อแก้ว (Wine by the Glass) มากกว่า40ชนิดโดยใช้เทคโนโลยี “Wine Dispenser” (ไวน์ ดิสเพนเซอร์) ช่วยรักษาคุณภาพและรสชาติของไวน์ไว้ได้อย่างยาวนาน ภายในร้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่สะท้อนรากเหง้าและจิตวิญญาณของ RIEDEL ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยพื้นที่บริการที่ดูโอ่โถงและกว้างขวาง เน้นความอบอุ่นของงานไม้สีเข้มแบบธรรมชาติและเครื่องแก้วเป่าอันเป็นประวัติศาสตร์ของร้าน ตู้โชว์ผลงานการแก้วเป่า รวมทั้งคนโทไวน์ “Decanter”ที่สร้างสรรค์แบบมีศิลปะอีกตู้ ขอสังเกตว่าเครื่องแก้วต่างๆ ในร้าน ล้วนใสเป็นประกายล้อกับแสงไฟระยิบระยับปานแก้วเจียระไนไร้ไฝฝ้าใดๆ ทั้งสิ้น
เรียกได้ว่าเป็น อาร์ทิซาน ไวน์บาร์ แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก ที่เสิร์ฟสุนทรียรสแห่ง ไวน์ยี่ห้อดังชั้นเลิศระดับโลกประกอบด้วยกับแกล้ม เช่น ปลาเรนโบว์เทราท์อบในกระดาษไข (Rainbow Trout en Papillote) ปรุงแต่งด้วย เม็ดเคเปอร์ มะกอกดำ มะเขือเทศเชอร์รี่ (capers black olives & cherry tomatoes) โดยจับคู่กับไวน์เลิศรส เป็นเมนูล่าสุดที่เชฟแพททริค มาร์เทนส์ (Patrick Martens) ตั้งใจนำเสนอเพื่อให้เพลิดเพลินในรสอาหารและไวน์อย่างเข้ากัน นอกจากนี้ยังมีเมนูเด่นอื่นๆ โดยใช้เนื้อซี่โครงคุณภาพจากออสเตรเลีย เช่น เนื้อไพร์มริบ แดดเดียว (Dry Prime Ribs) เป็นต้น
อยู่ที่ชั้น 2 เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00-24.00 น. โทร.02-6561133
ยำส้มโอผสมผงชา Dragonwell
(1823 Tea Lounge by Ronnefeldt)
1823 Tea Lounge by Ronnefeldt (1823 ที เลานจ์ บาย รอนเนอเฟลด์)
เป็นยี่ห้อชาระดับโลก ที่ก่อตั้งในปี 1823 ณ นครแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี โดย มิสเตอร์โยฮันน์โทไบอัส รอนเนอเฟลด์ (Mr.Johann Tobias Ronnefeldt) ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในทวีปยุโรปมานานกว่า 194 ปีโดยยึดหลักปรัชญาการเสาะหาใบชาคุณภาพสูงสุดจากไร่ชาจากแหล่งปลูกชาที่สำคัญที่สุดในโลก ความพิถีพิถันของกระบวนการผลิตพิเศษตั้งแต่วิธีการเก็บชาด้วยมือแบบดั้งเดิม เพื่อคงคุณภาพของใบชาไม่ให้ชอกช้ำ และนับเป็นความโชคดีของผู้ที่หลงใหลในวัฒนธรรมการดื่มชาของนักนิยมชาชาวไทย กับการมาเปิดตัว สุดยอดร้านน้ำชา(พรีเมียม ที เลานจ์) ในประเทศไทยเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของโลก เพื่อให้ซึมซับถึงจิตวิญญาณของชาระดับตำนานนี้อย่างน่าภาคภูมิใจ เติมเต็มความรื่นรมย์ในระหว่างการดื่มชาด้วยบรรยากาศการตกแต่งภายในอันอมตะไร้กาลเวลา โดยเลือกใช้โลหะสีทองที่สื่อถึงความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมชาในทวีปยุโรปที่แทรกในทุกรายละเอียด สอดรับกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์โบราณและเคาน์เตอร์หินอ่อนสีเข้ม พร้อมเพิ่มโซนระเบียงด้านนอกร้านให้ลูกค้าได้เลือกจิบชาท่ามกลางบรรยากาศโอ่โถง มีอิสระในการเลือกสรรชาจากกว่า 70 ชนิดได้ตามต้องการ เต็มอิ่มไปกับเมนูใหม่ประจำฤดู ในทุกเมนูจะมีชาของรอนเนอเฟลด์มาปรุงเป็นส่วนประกอบ
จานอาหาร เริ่มต้นจาก ยำส้มโอผสมผงชา Dragonwell (Dragonwell ชาเขียวหลงจิ่งจากเซี่ยงไฮ้) คลุกเคล้าด้วยกุ้งและปลาแซลมอน เพิ่มรสชาติให้จัดด้วยซอสมะขามหมักในชา Pai Mu Tan (ชาขาวรสอ่อน)ได้รสชาติแตงเมล่อนหอมหวน ตามด้วยจานหลักที่ถือเป็นจานพิเศษอย่าง Matcha Carbonara with Truffle Oil (Matcha คือ ผงชาเขียวของจีนและญี่ปุ่นที่ป่นละเอียด)
เส้นโซบะสดที่ทำจากมัทฉะรสเข้มข้น คลุกเคล้าด้วยชีส Parmigiano, Pecorino และไข่ เป็นคาโบนาร่าในสไตล์อิตาเลียน
แบบอมตะ โรยผงมัทฉะ เบคอนแพนเซตต้า และโปะหน้าด้วยไข่ออนเซน จุดสุดยอดคือการเหยาะน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลให้ช่วยเติมกลิ่นเพิ่มรสชาติความเป็นอาหารยุโรปได้อย่างดี
Tea Rice with Ikura & Truffle (ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอนและเห็ดทรัฟเฟิล) เป็นข้าวหุงพร้อมใบชาซีลอนและมะนาว โรยหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอนและฝานเห็ดทรัฟเฟิลสดลงไป ได้กลิ่นหอมยวนยีและรสชาติแสนอร่อยอันเป็นบุคลิกจะทำให้ทุกคนหลงใหล Crispy Pork Belly with Jasmine (เมนูหมูสามชั้นย่างควันใบชา) เพิ่มกลิ่นและรสชาติพิเศษ มากับธัญพืชคลุกใบชามะลิ กินกับซอสชา Masala Chai (ชาอัสสัมผสมเครื่องเทศมัสล่า) ที่มีรสเผ็ดซู่ซ่าเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ปิดท้ายด้วย Tea Roasted Chicken Rice -ไก่ย่างรมควันบาโลทีนกับชาต้าหงเป่า(ชาเสื้อคลุมแดง) เสิร์ฟพร้อมข้าวหุงชาซีลอนกับมะนาว ผัดผักราดด้วยน้ำเกรวี่จากชาต้าหงเป่า จนได้รสชาติกลมกล่อม
1823 ที เลานจ์ บาย รอนเนอเฟลด์ ชั้น 1เกษรวิลเลจ สำรองที่นั่งโทร.02-6561086
เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น.
เนื้อในครัวซองต์จะเห็นปุยเนื้อแน่นเปลือกกรอบ
(Eric Kayser)
Eric Kayser
อีริคนั้นเป็นชายชาวฝรั่งเศสผู้หลงใหลการอบขนม เพราะได้รับการปลูกฝังจากบรรพบุรุษ ซึ่งทั้งคุณทวด คุณปู่คุณพ่อ เป็นนักอบขนมชั้นยอดของเมืองลอเรน (Lorraine) ได้ต่อยอดพัฒนาฝีมือการอบขนมตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งได้เปิดร้านขนมปังของตัวเองเป็นครั้งแรกที่กรุงปารีสเมื่อปี 1996 ภายในระยะเวลาอันสั้น Maison Kayser(บ้านไกเซอร์) เติบใหญ่ขยายสาขาไปทั่วโลกมากกว่า80 แห่ง ในแถบเอเชียก็จะมีที่ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง และไต้หวัน ส่วนที่ประเทศไทยเป็นสาขาล่าสุดเพิ่งเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง
โดดเด่นเรื่องขนมปัง ทั้ง Baguette (ขนมปังฝรั่งเศส) Croissant (ครัวซองต์ต้นตำรับของฝรั่งเศสจะต้องนวดทบหลายชั้นอบสลับเนย เปลือกชั้นนอกต้องกรอบเป็นแผ่นร่วนกระจุย ส่วนเนื้อในเป็นวงออกลายสวยงาม) ผิวเหลืองเข้มกรอบเมื่อกัดสัมผัสลงไป เนื้อในเหมือนจะโปร่ง แต่ยังมีเนื้อหนึบให้สัมผัสในปากได้ ได้กลิ่นเนยอวลในปาก กินเปล่าๆ ก็ยังรู้สึกว่าอร่อย ถ้าจะให้ดูดีมีรสนิยมจะต้องกินคู่กับเนยสดและ แยม ในส่วนของเค้กจะเป็นเค้กตั้งสูงเป็นชั้น ขายเป็นชิ้นไม่มีแบบเป็นเค้กปอนด์ เท่าที่เห็นก็ยังเน้นจำพวก ทาร์ท มาการอง คุกกี้ บราวนี่ เดนิส และ เอแคลร์ อีกด้วย
สิ่งที่ประทับใจในรสชาติ เริ่มจากเนื้อแป้ง นั้นเหนียวและหนักมาก แตกต่างจากขนมปังทั่วไปที่นิ่มและยวบเพราะเกิดจากการใช้ผงฟู คนไทยอาจไม่ชอบขนมปังแนวนี้เพราะมันไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไหร่ แต่กินแล้วหนักท้อง ระหว่างนี้ยังได้ชิมครัวซองต์ให้เลือกทั้งแบบไม่มีไส้ ส่วนแบบสอดไส้ช็อกโกแลตมากิน ไส้ในมีหลายชั้น รสช็อกโกแลตเข้มมาก ถือเป็นของหวานล้างปากที่เยี่ยมยอด เด็ดสุดของมื้อนี้น่าจะเป็น ทาร์ทมะนาว (lemon tart) ของ Eric Kayser ต้องยกนิ้วให้เพราะหอมมันละมุนปากมาก
สรุปโดยรวมเป็น ครัวซองต์ และ บาเก็ต ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าเคยกินมา เขาบอกว่าที่ฝรั่งเศสบ้านเขา บรรดาขนมปังเขาจะอบจากเตาใหม่ทุกๆ 3 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้กลิ่นรสอันสุนทรีเท่าที่โลกมนุษย์จะพึงทำได้
เปิดขายตอนเช้า 07.30 น. ยาวไปจนถึง 4 ทุ่ม
Starbucks Reserve™ Experience Store
Starbucks Reserve™
Experience Store
(สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ เอ็กซ์พีเรียนซ์ สโตร์)
ร้านกาแฟสตาร์บัคส์พิเศษรุ่นใหญ่ เปิดตัวเป็นสาขาแรกในประเทศไทยที่ เกษรวิลเลจ หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เพื่อการสร้างประสบการณ์การดื่มกาแฟให้พิเศษยิ่งขึ้น โดยให้ลูกค้าได้มีโอกาสสัมผัสนวัตกรรมสำคัญของเมล็ดกาแฟ พร้อมทั้งดื่มด่ำไปกับเสน่ห์ของกาแฟนุ่มละมุนที่ผ่านการชงด้วยเทคนิคหลากสไตล์ที่มุม ExperienceBar โดยมีจุดเด่นที่เครื่องชงกาแฟ Victoria Arduino VA 388 Black Eagle เครื่องแรกในประเทศไทยที่สามารถดึงรสชาติและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะออกมาได้มากที่สุด
นอกจากนั้นยังมีการชงแบบ COFFEE PRESS SIPHON (ไซฟ่อน) การชงกาแฟด้วยแรงดันไอน้ำ และสุญญากาศ และ CHEMEX(เคมเม็กซ์) การชงกาแฟแบบไฮบริด เป็นต้น โดยมีคอฟฟี่มาสเตอร์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด พร้อมมอบเอกสิทธิ์เฉพาะด้วยสุดยอดกาแฟคุณภาพเยี่ยม โดยเลือกใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพดีชนิดพิเศษที่หายากและมีจำนวนจำกัดจากทั่วโลก เช่น อเมริกาใต้ แอฟริกา ซึ่งให้กลิ่นรสเลิศที่แตกต่างกัน โดยจะสลับสับเปลี่ยนไปทุกๆ 6-8 สัปดาห์
ชั้น 2 เปิดบริการทุกวัน เวลา 06.30-21.00 น. โทร.02-6561008
นอกจากที่แนะนำแล้ว ในหมู่บ้านมียังร้านอาหารคัดสรรอีกหลายร้าน เช่นร้าน Provence, Mandarin Oriental Shop, Xinn Tien Di, Boyy Café, Nabezo Premium, ร้านกับข้าวกับปลา, Burger & Lobster ฯลฯ รวมทั้งที่เตรียมจะเปิดภายในปีนี้ทั้งสิ้น 18 ร้าน
gaysornvillage
999 ถนนเพลินจิตร แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน
กรุงเทพมหานคร 10330
โทร.02-6561149
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี