ฤดูมรสุมของทุกปีจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “ภัยพิบัติทางธรรมชาติ” มากบ้าง น้อยบ้างอยู่ทั่วโลก ที่จริงมันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่กำลังปรับสุมดุล แต่บังเอิญว่ามนุษย์ได้รับผลกระทบจากมันในทางที่เลวร้ายจึงกล่าวโทษมันว่า “เป็นภัย”
นั่นเพราะมนุษย์ยกเอาตัวเองเป็น “จุดศูนย์กลาง” ของโลก ของจักรวาล ของทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเห็นแก่ตัวและละโมบไปพร้อมกัน ที่จะได้รับแต่สิ่งที่ดีจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกตัวเอง โดยไม่เข้าใจว่ามนุษย์เองนั่นแหละที่เป็น “เหตุและปัจจัย” สำคัญ ที่ทำให้โลกธรรมชาติแปรปรวนวิปริตจนต้องปรับสมดุลอย่างรุนแรง
พื้นฐานของสรรพสิ่งหรือของจักรวาลนานา ทั้งที่มนุษย์รับรู้ได้และไม่ได้นั้นเมื่อแยกย่อยลงไปถึงที่สุดแล้วก็มีเพียงสิ่งที่เรียกว่า “ธาตุ 6” อันได้แก่ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ธาตุทั้งหมดนี้สั่นไหวและเกาะกุมกันเป็น “ขันธ์” หรือกลุ่มก้อนที่มีรูปลักษณ์ต่างๆนานา เป็นดวงดาว เป็นจักรวาล เป็นน้ำ เป็นภูเขา เป็นผืนดิน เป็นต้นไม้ เป็นสรรพสัตว์ (กลุ่มก้อนของมนุษย์นั้นมี 5 ธาตุเกาะกุมกัน เรียกว่าขันธ์ 5)
การเกาะกุมเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นขันธ์นั้นก็ไม่ได้อยู่นิ่ง (เพราะแต่ละธาตุสั่นไหวอยู่แล้ว) แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ทั้งกลุ่มก้อนที่เป็นวัตถุ (ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม) และกลุ่มก้อนที่มีชีวิต (ธาตุญญาณ)โดยกระบวนการที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท”
การเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องไม่หยุดยั้งจึงเป็นผลของธรรมชาติที่เรียกว่า “กฎไตรลักษณ์”
ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ในสากลจักรวาล ทั้งที่มนุษย์รับรู้ได้และไม่ได้ ก็ล้วน “เป็นสิ่งเดียวกัน”
(แต่มนุษย์เห็นสิ่งต่างๆแตกต่างกัน แยกกัน ไม่เหมือนกันเพราะหลงคิดเอาเอง และแยกตัวออกมาจากธรรมชาติก่อน)
สิ่งเดียวกันนี้เปลี่ยนแปลงเป็นองค์รวมเดียวกัน
เมื่อมีกลุ่มก้อน(ขันธ์) หรือสิ่งใดในสากลจักรวาลเปลี่ยนแปลงในระดับผิดปรกติ ก็ย่อมส่งผลกระทบกระเทือนไปทั่วสากลจักรวาลเช่นกัน
ชาวอินเดียนแดงนั้นรู้มานานแล้ว จึงกล่าวเตือนว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” (พวกเขาจึงไม่ทำลายธรรมชาติเกินจำเป็น) ซึ่งต่อมาก็ได้มีคนนำเอาคำกล่าวนี้มาทำวิจัยและตั้งเป็น “ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก” เช่นผีเสื้อกระพือปีกที่ฮ่องกงก็ส่งผลกระทบไปถึงนิวยอร์ก
พุทธศาสนาก็กล่าวถึงเรื่องนี้มานานแล้วและอธิบายได้หมดจด นั่นคือ กระบวนการที่ทำให้เกิดสรรพสิ่งในสากลโลกนั้น ได้แก่ “ธาตุ อายตนะ ขันธ์ ปฏิจจสมุปบาท ฐานะและอฐานะ” อย่างที่ผมอธิยายอย่างย่อมาข้างบนนั้น
ทั้งหมดที่ผมอธิบายมานั้นก็เพื่อจะเป็นเหตุผลที่จะกล่าวต่อไปนี้ว่า...
“จิตของมนุษย์เป็นเช่นไร ธรรมชาติก็เป็นเช่นนั้น”
ถ้าจิตมนุษย์รุนแรง ธรรมชาติก็รุนแรง
ถ้าจิตมนุษย์อ่อนโยน สงบงาม ธรรมชาติก็อ่อนโยน สงบงาม
เพราะจิตมนุษย์นั้นเป็น “วิญญาณธาตุ” อยู่ในสากลจักรวาล หรือเป็น “จิตของจักรวาล” อย่างน้อยที่เราเห็นได้ก็คือโลกที่เราอาศัยอยู่...โลกนี้มีมนุษย์กี่พันล้านคน มีสรรพสัตว์อื่นอีกเท่าไหร่? จิตทั้งหมดนี้มีคุณสมบัติแตกต่างกันในรายละเอียดและการแสดงออก แต่โดยพื้นฐานแล้วมีเหมือนกันหมดคือ “โลภ โกรธ หลง” ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแหล่งเพาะความรุนแรง และแสดงอาการรุนแรงออกมาทุกขณะจิต
มนุษย์นั้นมีความรุนแรงทั้งในระดับความคิด วาจา และการกระทำ ทั้งที่เกิดจากความเห็นแก่ประโยชน์ตนเล็กๆน้อยๆ ความริษยา การชิงดีชิงเด่น การอาฆาตแค้น การเข่นฆ่าทำลายล้างกัน กระทั่งการทำสงคราม โลกที่เราอาศัยอยู่นี้จึงถูกกระทำด้วยความรุนแรงโดยมนุษย์เสมอมา
และความรุนแรงทั้งหลายนั้นก็เป็นขยะปฏิกูลสะสมอยู่บนโลกนี้ มากกว่าขยะปฏิกูลที่เป็นวัตถุเสียอีก
พลังจิตอันรุนแรงของมนุษย์นั้นรุนแรงยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู จึงทำให้โลกธรรมชาติแปรปรวนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นมันก็พยายามปรับสมดุลจากการถูกกระทำให้เสียสมดุลด้วย จึงเกิดความรุนแรงหลากหลายซ้ำซ้อน ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ
(โลกธาตุแปรปรวน – วิปริต)
ถ้าจิตใจมนุษย์ยังคงรุนแรงต่อไป ซึ่งผมก็เห็นว่ามันจะรุนแรงยิ่งขึ้น เราก็จะได้รับผลกรรมหรือวิบากที่เราได้กระทำความรุแรงแรงไว้กับโลกต่อไปไม่จบสิ้น และจะหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นตามจิตของมนุษย์ที่รุนแรงเพิ่มขึ้น
ชะตากรรมของมนุษย์นั้นขึ้นอยู่กับตัวมนุษย์เอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี