การไหลบ่าของชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่เป็นเรื่องที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับคนที่เล็งเห็นแต่เม็ดเงินที่จะเข้าประเทศตนหรือกระเป๋าตน โดยไม่คิดถึงผลกระทบอื่นๆที่จะตามมา
รัฐบาลไทยทุกรัฐบาลแทบจะ “แก้ผ้าอ้าแขนรับ” นักท่องเที่ยวและนักลุงทุนจากต่างชาติตลอดมา เมื่อก่อนหน้านี้เป็นชาวญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี และชาวตะวันตก มาถึงปัจจุบันมีชาวจีนมีจำนวนมากที่สุด เหตุผลที่รัฐบาลทุกรัฐบาล “ยินดีต้อนรับ” ก็เพราะหวังการลงทุนและละเงินจากพวกเขา
เรื่องการท่องเที่ยวนั้นทุกรัฐบาลประกาศทุกปีว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยกี่คน มีรายได้รวมเท่าไหร่ รัฐบาล คสช.ก็ประกาศอย่างปลื้มอกปลื้มใจเมื่อปีที่แล้วว่า “ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 30 ล้านคนแล้ว” (ส่วนมากเป็นชาวจีน) แต่ลืมคิดหรือแกล้งไม่คิดเรื่องผลกระทบต่างๆ ทั้งทางด้านวัฒนธรรม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม
เรื่องการทุนนั้นก็น่าเสียดาย “ทรัพยากร” (คน เครื่องมือ กฎ ระเบียบ งบประมาณ ภาษี ฯลฯ) เพราะทุกรัฐบาลต่างก็ “ลดแลกแจกแถมสารพัด” เอาอกเอาใจพวกนักลงทุนราวกับเป็นเทพมาโปรด เช่น ลดขั้นตอนการติดต่อกับทางราชการ (ก็ดีละมั้ง?) ลดภาษี ผ่อนผันข้อกำหนดต่างๆ หวังล่อใจให้นักลงทุนเข้ามาลุงทุนกันมากๆ
ทำไมถึงอยากให้มีนักลงทุนเข้ามามากๆ?
เหตุผลเดียวที่ได้ยินมาทุกรัฐบาลก็คือ “เมื่อมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คนไทยก็จะมีงานทำ”
จึงมีคนตะโกนถามว่า “ใจคอมึงจะให้คนไทยเป็นขี้ข้านายทุนไปจนสิ้นชาติเลยหรือไง เพราะพูดกันอย่างนี้มาจะครบศตวรรษแล้ว!
รัฐบาลและข้าราชการในช่วงหลังๆนั้นได้มีเหตุผลเพิ่มเข้ามาอีกอย่างว่า “ไม่ใช่แค่คนไทยจะมีงานทำเท่านั้น แต่จะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย”
แต่ผ่านมาครึ่งศตวรรษคนไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอะไรบ้างวะ?
ลูกจ้างก็ยังคงต้องเป็นลูกจ้าง เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งในโรงงานรุ่นแล้วรุ่นเล่าอยู่นั่นเอง
ส่วน “แรงงานมีฝีมือ” ในประเทศไทยส่วนมากก็อยู่ระดับกลางๆ – ต่ำ เมื่อเข้าไปเป็นลูกจ้างก็รู้แต่เรื่องที่ตัวเองต้องทำตามหน้าที่ นายทุนจะให้รู้ไปถึงเรื่องวิธีคิด วิธีสร้างกิจการ สร้างธุรกิจ หรือสร้างเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเสียเมื่อไหร่ และความรู้เหล่านี้ก็มีอยู่ในตำราประเภท “ฮาว ทู” เยอะแยะไป
แล้วแรงงานไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอะไรบ้าง?
คนที่เก่งจริง หรือมีเลือดนักสู้ เขาก็ไม่ไปเป็นลูกจ้างในโรงงานหรอก แต่เขาทำกิจการของตนเองเลย
ใน “ภาคบริการ” ก็เช่นกัน ใครจะถ่ายทอดอะไรให้ใคร? เป็นลูกจ้างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไป เขาให้มาทำงาน ไม่ใช่ให้มาเรียนนะโว้ย!
คุณต้องเรียนมาก่อน แม้การศึกษาในประเทศไทยจะเป็นเหมือน “การสร้างซอมบี้” ก็ต้องเรียน พอได้เป็นพื้นฐาน แล้วค่อยไปเรียนรู้ - ปรับตัวเอาตามหน้าที่การงานของตน เช่น มีหน้าที่ตัดปีกไก่ ก็ต้องเรียนรู้จากหัวหน้างานว่าต้องยืนอยู่ในตำแหน่งไหนในสายพานการผลิตชำแหละไก่ จับมีดอย่างไร เฉือนตรงไหน เป็นต้น (ถือว่าได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว!)
ผมจึงโมเมสรุปด้วยอคติว่า “ทุกรัฐบาลไม่เคยคิดที่จะวางรากฐานเรื่องการพึ่งพาตนเองให้พลเมืองอย่างจริงจังเลย หวังพึ่งการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างประเทศเท่านั้น”
การวางรากฐานให้พลเมืองพึ่งพาตนเองได้นั้น ก่อนอื่นต้องให้พลเมืองมีความรู้ในสิ่งที่จะทำ ตามมาด้วยความรักและความสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่การงานของตน มีนิสัยขวนขวายหาความรู้ หมั่นปรับปรุงพัฒนากิจการของตนอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ต้องสร้างให้เป็นจิตสำนึกของพลเมือง และหน้าที่นี้ก็เป็นของ “ผู้ปกครองและการศึกษาไทย” เป็นอันดับแรก ที่จะต้องปลูกฝังลูกหลานกันมาแต่วัยเยาว์
ไม่ใช่ผู้ปกครองเอาแต่พะเน้าพะนอลูกหลาน เลี้ยงให้เป็น “คุณหนู” เมื่อเติบโตก็จะได้เป็น “คุณผู้ชาย – คุณผู้หญิง”
การศึกษาก็ต้องสอน “สิ่งที่เป็นจริง” เพื่อให้จบออกไปทำงานได้จริง ไม่ใช่สอนตามตำรา และวัดความสามารถกันตามตำรา พอจบออกมาก็เดี้ยง
เก่งแต่บริโภค แต่ผลิตไม่เป็น
ปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลจะต้องจัดการก็คือ การจัดอบรมวิชาชีพต่างๆให้แก่คนวัยทำงาน ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม (วิสาหกิจชุมชน) และภาคบริการ ซึ่งในปัจจุบันก็มีการอบอบรมกันอยู่ตลอด แต่ไม่ได้ผล เพราะทั้งผู้ให้การอบรม(ภาครัฐ) และผู้เข้ารับการอบรมต่างก็ไม่ตั้งใจจริง ต่างก็ทำให้มันจบไปครั้งหนึ่งๆเท่านั้น ไม่มีการติดตามประเมินผลอะไร
คนที่เข้ารับการอบรมส่วนมากก็อยากได้เงิน(เบี้ยเลี้ยง) มากกว่าอยากจะได้ความรู้ รู้แล้วก็ไม่ได้เอาไปทำ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม (ประเด็นนี้ผมเห็นใจรัฐบาลนะ)
แต่นั่นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของพลเมืองที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขต่อไป...อีกเรื่องที่รัฐบาลต้องทำก็คือ ปกป้องพลเมืองที่ประกอบกิจการของตนเอง ด้วยการไม่ให้ทุนใหญ่เข้า “ครอบครองพื้นที่” การทำมาหากินของพลเมืองเสียหมด...มีได้แต่พอให้เป็นคู่แข่งและแหล่งเรียนรู้เท่านั้น
ไม่ใช่ปล่อยให้ปลาใหญ่ไล่กินปลาเล็กอย่างทุกวันนี้ จนปลาเล็กจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว พอพลเมืองอยู่ไม่ได้ก็ “แจก” ซึ่งก็แจกกันมาทุกรัฐบาล ยิ่งแจกก็ยิ่งทำให้พลเมืองพึ่งพาตนเองไม่ได้และไม่อยากพึ่งพาตนเองมากขึ้นอีก
เมื่อรัฐบาลทำ “โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” สำหรับนักลงทุนได้ ทำไมไม่คิดทำโครงการอย่างนี้สำหรับพลเมืองไทยที่มีทุนน้อยๆ เป็นกิจการขนาดเล็ก – กลางบ้างเล่า?
อย่าทำแต่เพื่อทุนใหญ่ – ทุนต่างชาติ สุดท้ายประเทศไทยจะไม่เพียงถูกกลืนกินทรัพยากรและทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่จะถูกกลืนกินทั้งประเทศ.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี