คนที่เคยดูหนังฮอลลีวู้ดย้อนยุคเกี่ยวกับเรื่องทาสผิวดำ อาจจะเคยสงสัยว่าทำไมทาสที่ทำไร่ฝ้ายทางภาคใต้ของอเมริกาต้องหาทางหลบหนีขึ้นไปทางเหนือ ทำไมไม่หลบหนีลงใต้ไปเม็กซิโก เพราะน่าจะใกล้กว่าตั้งเยอะ
เรื่องนี้มีที่มาที่ไป เพราะหากหนีขึ้นไปรัฐทางเหนือจะเป็นไทได้ทันที ดังนั้นทาสที่ทนความโหดร้ายทารุณของนายทาสไม่ไหวจึงต้องหลบหนีขึ้นไปทางเหนืออย่างเดียวเท่านั้น โดยการข้ามเส้นแบ่งระหว่างเหนือและใต้ให้ได้
การกำหนดเส้นแบ่งระหว่างเหนือและใต้นี้มีเส้นกำหนดเขตแดนที่เรียกว่า “เส้นเมสันแอนด์ดิกสัน” (Mason and Dixon line) โดยกำหนดไว้ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1763 และค.ศ.1767 โดยชาร์ลส์ เมสัน (Charles Mason) และเจเรมายห์ ดิกสัน (Jeremiah Dixon)
หากทาสข้ามเส้นเมสันแอนด์ดิกสันมาได้ ถือว่าเข้าสู่เขตรัฐทางเหนือ ซึ่งไม่นิยมการมีทาส และกลายเป็นไท เส้นแบ่งเขตแดนนี้เริ่มต้นตั้งแต่รัฐแคนซัสผ่านรัฐเวอร์จิเนีย หากดูตามเส้นแบ่งแดน รัฐเพนซิลเวเนียจะอยู่ทางตอนเหนือ และถือเป็นรัฐทางภาคเหนือ ในขณะที่รัฐเวอร์จีเนียกลายเป็นรัฐทางใต้
ในบรรดา 13 รัฐแรกของอเมริกา แบ่งเป็นรัฐเสรีจำนวน 5 รัฐ และรัฐที่อนุญาตให้ค้าทาสได้ 8 รัฐ ซึ่ง 8 รัฐที่มีการค้าทาสนี้เรียกว่ารัฐทาส หลังจากนั้นก็มีการขยายขอบเขตออกไปเรื่อยๆ จนมีทั้งหมด 34 รัฐ โดยแบ่งเป็นรัฐเสรี 19 รัฐ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศและรัฐทาส 15 รัฐ ทางตอนใต้
เมืองในรัฐเพนซิลเวเนียจึงกลายเป็นสถานที่หลบซ่อนทาสผิวดำ ที่หนีความทารุณของนายทาสทางใต้ขึ้นสู่รัฐทางเหนือ โดยแอบช่วยเหลือทาสอย่างลับๆ ด้วยการให้อาหารและที่พักอาศัยในการเดินทางขึ้นเหนือต่อไป ดังนั้นรัฐนี้จึงเป็นจุดพักสำคัญในเส้นทางการหลบหนี ทาสผิวดำที่หลบหนีจากนายทาสและเจ้าของที่ดินจะได้รับการช่วยเหลืออย่างลับๆ จากคนผิวขาวที่ไม่เห็นด้วยกับการค้าทาส
เมื่อทาสผิวดำทนการกดขี่จากนายทาสเจ้าของที่ดินไม่ไหวก็มักหาทางหลบหนี แม้จะถูกฆ่าหรือถูกทรมานก็จะหาหนทางหนีมาสู่รัฐทางภาคเหนือ การหลบหนีของทาสผิวดำนี้เรียกว่า "Underground Railroad." ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทาสเหล่านั้นเดินทางมาด้วยรถไฟ แต่หลบๆ ซ่อนๆ หาที่พักไปตามทางจนกว่าจะถึงชายแดนรัฐทางเหนือ สามารถแวะหลบตามบ้านของคนผิวขาวที่ต้องการช่วยเหลือ โดยทำช่องลับในบ้านหรือในสวนเพื่อซ่อนทาสเหล่านี้
ชาวเมืองจะเปิดบ้านให้ทาสผิวดำหลบซ่อนตัว โดยมีห้องลับไว้ซ่อนทาส และไม่มีใครล่วงรู้ความลับนี้นอกจากเจ้าของบ้าน จากนั้นก็จะส่งตัวทาสผิวดำขึ้นไปสู่รัฐทางเหนือรัฐอื่นๆ เพื่อเป็นอิสระต่อไป
การที่คนผิวชาวเหล่านั้นต้องแอบซ่อนทาสผิวดำรวมทั้งช่วยเหลือทาสอย่างลับๆ เพราะในปี ค.ศ.1850 หรือช่วงก่อนสงครามกลางเมือง มีการออกกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่ไม่จับทาสผู้หลบหนี โดยเจ้าหน้าที่จะถูกปรับ 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งหนึ่งพันดอลลาร์ในเวลานั้นคือเงินจำนวนมหาศาล
ผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นทาสหลบหนีจะถูกจับโดยไม่มีการประกันและนำตัวส่งให้นายทาสซึ่งสามารถอ้างความเป็นเจ้าของได้เพียงด้วยการสาบานว่าเป็นเจ้าของทาสจริง คนผิวดำผู้ต้องสงสัยว่าเป็นทาสหลบหนีไม่มีสิทธิ์ขอให้ศาลพิจารณาไต่สวนใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ทาสโดยการให้ที่พักพิง ให้อาหารหรือการช่วยเหลือใดๆ มีโทษจำคุก 6 เดือนและปรับ 1,000 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นโทษหนักมากในยุคนั้น เจ้าหน้าที่คนไหนจับทาสที่หลบหนีได้จะได้รับเงินรางวัลอย่างงาม
เรื่องนี้ยิ่งทำให้คนผิวขาวออกล่าทาสที่หลบหนีเพราะเงินรางวัลล่อใจ เมื่อจับทาสมาได้แล้ว ยังสามารถนำทาสไปขายต่อได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้การช่วยเหลือทาสผิวดำจึงต้องเก็บเป็นความลับที่สุด หากทาสผิวดำถูกจับได้ระหว่างการหลบหนี จะถูกล่าม ถูกตัดหู ถูกตัดแขนขา สำหรับผู้คนในรัฐทางใต้แล้ว ทาสผิวดำคือสินค้าอันมีมูลค่า เพราะระบบเศรษฐกิจทางใต้ขึ้นอยู่กับแรงงานทาสทั้งสิ้น
คนผิวดำที่อาศัยในรัฐทางเหนือถือว่าเป็นไทแก่ตัวเรียกว่า “ฟรีแมน” การพาทาสหนีมักใช้เส้นทางรถไฟหลบซ่อนมาตามทาง เพื่อข้ามผ่านเส้นแบ่งเขตแดนเมสันและดิกสัน ที่แบ่งพรมแดนระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในรัฐแมรี่แลนด์และเพนซิลเวเนีย แต่วิธีนี้กลับต้องพบอุปสรรค เพราะมีการออกกฎหมายนำจับทาสหลบหนี ดังนั้นทาสผิวดำจะต้องหนีไปแคนาดาเท่านั้นถึงจะเป็นไทอย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี