ช่วงนี้การเมืองเดือดประทุส่งผลให้อุณหภูมิระอุอ้าวทั้งไทยและอเมริกา เห็นว่าผู้อ่านในไทยที่กำลังเผชิญหน้ากับอากาศร้อนจัด เลยขอนำเรื่องประวัติศาสตร์มาเล่าแทรก แทนที่จะเขียนเล่าเรื่องการเมืองเหมือนอาทิตย์ก่อน
อาทิตย์นี้มีโอกาสได้ดูภาพยนตร์น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่อง “กรีนบุ้ค” หรือหนังสือเล่มเขียว เป็นเรื่องที่สร้างจากเรื่องจริงของนักเปียโนอัจฉริยะผิวดำชื่อ “ดอน เชอร์ลีย์” ผู้เป็นเลิศด้านเปียโนและสามารถพูดได้ถึง 8 ภาษา อาศัยอยู่ในอพาทเมนต์หรูหราใหญ่โตในนิวยอร์ก
ดอน เชอร์ลีย์มีวงทรีโอบรรเลงดนตรีคลาสิกตามสถานที่ต่างๆ โดยเคยไปแสดงในทำเนียบขาวหลายหน นับเป็นนักดนตรีระดับโลกคนหนึ่ง แม้จะเก่งกาจเพียงใด แต่ดอนก็อาศัยอยู่เพียงลำพัง อาจจะด้วยลักษณะนิสัยที่ไม่กระเดียดไปทางคนผิวดำเลย พูดแบบบ้านๆ คือดอนนั้นทำตัวราวเชื้อพระวงศ์ผิวขาวที่เย่อหยิ่งและภาคภูมิใจในความเป็นผู้ดีของตัวเองทุกกระเบียดนิ้ว ในรัฐทางตอนเหนืออย่างนิวยอร์ก ไม่ค่อยมีการเหยียดสีผิวเท่ากับรัฐทางใต้ หากว่ามีเงินก็สามารถพักโรงแรมหรูๆ หรือรับประทานมื้อค่ำในร้านอาหารแพงๆ ได้ ไม่จำกัดสีผิว
ดอน เชอร์ลีย์จ้างคนขับรถผิวขาวเพื่อตระเวณแสดงดนตรีทั่วรัฐภาคใต้ตามกำหนดการแสดง โดยจ้างชายอิตาเลี่ยนวัยกลางคนที่เพิ่งตกงานจากบาร์ชื่อโทนี่ ลิป มาขับรถให้ โทนี่ ลิปตัวจริงเป็นคนเหยียดผิวและดูถูกคนผิวดำขนาดหนัก เมื่อภรรยาเรียกช่างผิวดำมาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และรินน้ำมะนาวให้ดื่ม โทนี่ถึงกับโยนแก้วน้ำทั้งสองใบทิ้งถังขยะด้วยความรังเกียจ ตอนนั้นโทนี่ ลิปตกงาน และเมื่อเห็นผู้ว่าจ้างเป็นชายผิวดำก็ไม่พอใจ พ่นคำเหยียดผิวออกมาต่างๆ นานา ทั้งคำว่า “ไอ้แขก” และ “ไอ้เจ๊ก” แต่สุดท้ายก็ตอบรับงานนี้เพราะถังแตก กลายเป็นคนขับรถให้นายจ้างผิวดำอย่างกล้ำกลืน เพราะจ่ายดี ตัวดอนเองก็ต้องการมากกว่าคนขับรถ เพราะต้องการคนผิวขาวที่รู้เล่ห์เหลี่ยมในการแก้ปัญหาท่ามสถานการณ์คับขันด้วย
ยุคปี ค.ศ.1930-1970 การเหยียดผิวยังดำรงอยู่ หากคนผิวดำขับรถลงไปทางใต้ จำเป็นจะต้องพกคู่มือเล่มหนึ่งชื่อ “The Negro Motorist Green Book” ซึ่งภายหลังชื่อเรียกเหลือแค่ Green Book ที่มาของสมุดเล่มเขียวมาจากชื่อคนแต่งคือวิคเตอร์ ฮิวโก กรีน เจ้าหน้าที่ส่งพัสดุผิวดำในนิวยอร์ก เนื้อหาภายในเล่มคือการแนะนำที่พัก ร้านอาหาร และปั๊มน้ำมันที่ต้อนรับคนผิวดำ เพื่อให้คนผิวดำที่จะสัญจรในรัฐทางใต้รู้ว่าโรงแรมและร้านอาหารใดต้อนรับและไม่ต้อนรับคนผิวดำ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกคนผิวขาวทำร้ายหรือหยามหมิ่น
หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าในอดีต สถานการณ์การเหยียดผิวระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวดำรุนแรงขนาดไหน ประเด็นการเหยียดผิวย้อนไปถึงยุคสงครามกลางเมือง และที่แรงสุดคือการออกกฎหมายฉบับหนึ่งบังคับใช้ในรัฐทางใต้ กฎหมายนี้คือ กฎหมายจิมโครว์
หลังสงครามกลางเมือง รัฐบาลกลางพยายามฟื้นฟูประเทศโดยนำรัฐทางใต้ผนวกเข้าเป็นสหรัฐอเมริกาอีกครั้งด้วยความมุ่งหวังให้กลมเกลียว มีการออกกฎหมายเพื่อให้สิทธิเสรีภาพแก่ทาสผิวดำในฐานะพลเมืองอเมริกันให้เท่าเทียมกับคนผิวขาว
แต่รัฐทางใต้นั้นใช้กฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งเป็นกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของทาสผิวดำ กฎหมายฉบับนี้เรียกว่ากฎหมายคนผิวดำ (Black Codes) ในปี ค.ศ.1860 คนผิวขาวทั้งหมดในรัฐที่มีทาสทางใต้มีประมาณแปดล้านคน และมีทาสผิวดำถึงสี่ล้านคน สำหรับเจ้าของที่ดินและนายทาสแล้ว ทาสถือเป็นทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่ง นายทาสทำทุกอย่างกับทาสของตนได้ทั้งสิ้นโดยไม่ผิดกฎหมาย ห้ามพวกทาสเรียนหนังสือและเมื่อแต่งงานก็ไม่มีการรับรองทางกฎหมายใดๆ อีกทั้งห้ามคนผิวขาวแต่งงานกับคนผิวดำด้วย
ความคิดเช่นนี้คือจุดเริ่มต้นของการเหยียดผิว โดยมองคนที่มีสีผิวต่างจากตนเองเป็นพวกที่ต่ำกว่า สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายออกมาเป็นบทบัญญัติรัฐธรรมนูณข้อที่ 14 (Fourteenth Amendment) ในค.ศ. 1868 ใจความสำคัญคือการให้สิทธิเสรีภาพแก่ชาวผิวดำเป็นพลเมืองอเมริกัน และบังคับให้รัฐทางใต้ยอมรับบทบัญญัติข้อนี้เข้าไปในธรรมนูญไม่เช่นนั้นจะไม่รับกลับเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับสหรัฐอเมริกา
ผลของการให้สิทธิเสรีภาพแก่คนผิวดำมีสิทธิเท่าเทียมคนผิวขาวสร้างความไม่พอใจอย่างใหญ่หลวงแก่ชาวอเมริกันในรัฐทางใต้ ต่อมาพรรคเดโมแครตมีอำนาจอีกครั้งในรัฐภาคใต้ และออกกฎหมายกีดกันริดรอนสิทธิเสรีภาพของคนผิวดำอีกครั้งในชื่อกฎหมายจิมโครว์ (Jim Crow Laws)
หลักของกฎหมายจิมโครว์ (Jim Crow Laws) คือการแบ่งแยกคนผิวขาวและคนผิวดำอย่างชัดเจนในเรื่องการใช้บริการสาธารณะและสาธารณูปโภค เช่น การโดยสารรถประจำทาง คนผิวดำจะต้องไปนั่งข้างหลัง ส่วนคนผิวขาวได้นั่งข้างหน้า หากคนผิวดำได้ที่นั่งแล้วคนผิวขาวขึ้นมาบนรถโดยสาร คนผิวดำจะต้องลุกให้คนผิวขาวนั่ง หรือการใช้ห้องน้ำสาธารณะก็ห้ามใช้ปะปนกัน ก๊อกน้ำดื่มสาธารณะก็แยกออกจากกันโดยชัดเจน แม้แต่ประตูทางเข้า-ออกของอาคารแต่ละแห่ง
นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายแบ่งแยกโรงเรียนระหว่างเด็กผิวขาวและผิวดำอีกด้วย ที่สำคัญคือห้ามแต่งงานข้ามสีผิวอย่างเด็ดขาด กฎหมายจิมโครว์มีผลบังคับใช้มานานหลายสิบปี รัฐทางใต้มีการแตกหน่อกฎหมายย่อยๆ เพื่อกดดันคนผิวดำอย่างหนัก เช่น การประกาศใช้กฎ Sundown town นั่นคือ เมื่อตะวันตกดินหรือประมาณหกโมงเย็น คนผิวดำห้ามออกนอกบ้านอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกตำรวจจับ
กฎ Sundown town หรือเรียกอีกอย่างว่า gray towns ไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่คนผิวดำเท่านั้น หากแต่ในบางรัฐที่มีคนผิวสีอื่นที่ไม่ใช่ผิวขาวอยู่เป็นจำนวนมาก คนผิวขาวในรัฐเหล่านั้นก็ใช้กฎ Sundown town กับกลุ่มชนผิวสีอื่นเช่นกัน เช่น ในรัฐไอดาโฮ ซึ่งเป็นรัฐที่ปลูกมันฝรั่งมากที่สุด มีพลเมืองเป็นชาวจีนถึงหนึ่งในสาม มีการนำกฎนี้มาใช้ ห้ามคนจีนออกนอกบ้านหลังตะวันตกดิน หรือในรัฐโคโลราโด ห้ามเม็กซิกันออกจากบ้านหลังหกโมงเย็น ในรัฐคอนเนกติคัท มีกฎ "Whites Only Within City Limits After Dark". เฉพาะคนผิวขาวเท่านั้นที่ออกจากบ้านได้ ส่วนรัฐเนวาด้าก็จำกัดเสรีภาพของคนญี่ปุ่นในอเมริกาในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนี้คือกฎแห่ง Sundown town
ในภาพยนตร์ นักเปียโนระดับโลกอย่างดอนจำต้องปฎิบัติตามหนังสือเล่มเขียว เพราะความที่เป็นคนผิวดำ ก่อนบ่ายหน้าลงสู่รัฐภาคใต้ ทั้งคู่สามารถนอนพักโรงแรมหรูแห่งเดียวกันในรัฐทางเหนือ แต่พอเข้าสู่รัฐตอนใต้ นักเปียโนผิวดำต้องพักในโรงแรมซ่อมซ่อซึ่งมีแต่คนผิวดำ ส่วนคนขับผิวขาวพักในโรงแรมที่ดีกว่า และเมื่อดอนเดินเข้าบาร์เพราะต้องการวิสกี้ ก็ถูกคนผิวขาวทำร้ายร้างกายและด่าทอ จนโทนี่ ลิปต้องรีบออกจากโรงแรมมาช่วย
ร้านอาหารหรูๆ แม้จ้างดอนมาเปิดการแสดง แต่กลับไม่ยอมเสิร์ฟอาหารให้ก่อนการแสดง หรือเจ้าของคฤหาสน์หรูจ้างดอนและวงทรีโอมาเปิดการแสดง แต่กลับกฎิเสธไม่ยอมให้ใช้ห้องน้ำในบ้าน เพราะสงวนไว้สำหรับคนผิวขาวโดยเฉพาะ ทำให้ดอนต้องให้คนขับรถขับกลับโรงแรมซึ่งไกลออกไปถึงครึ่งชั่วโมง เพราะเจ้าของคฤหาสน์ยืนยันขันแข็งว่าอย่างไรเสียก็ไม่ยอมให้ดอนใช้ห้องน้ำ แต่ยินดีจะรอเป็นชั่วโมงๆ แทน
สิ่งที่โทนี่ ลิป ผู้ไม่เคยชอบหน้าคนผิวดำพบเจอระหว่างการเดินสายทัวร์ทำให้เริ่มเข้าใจความขมขื่นที่คนผิวดำต้องแบกรับ แม้ในช่วงแรกโทนี่ ลิปพยายามยัดเยียด “รสนิยมสาธารณ์” ตามแบบคนผิวขาวให้ดอน นั่นคือพยายามยัดเยียดให้กินไก่ทอดเคเอฟซี ซึ่งดอนถูกเลี้ยงมา“เสมือนไม่ใช่คนผิวดำ” และผู้ดีจัด จึงไม่ยอมกินไก่ทอด แต่รับมาแทะเล็มอย่างเสียไม่ได้ แต่ด้วยความอร่อย เลยรับน่องไก่ทอดชิ้นที่สองมาแทะอย่างเต็มใจ
บทสรุปในภาพยนตร์คือทั้งนายจ้างผิวดำและคนขับรถผิวขาวต่างเรียนรู้ในความแตกต่างของกันและกันจนกลายเป็นมิตรภาพในชีวิตจริงของทั้งคู่ แต่สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้คือหนังสือเล่มเขียวแม้จะเล่มบางๆ แต่กลับหนักอึ้งด้วยกำแพงแห่งอคติสีขาวดำที่ยังทึบทอดเงาหม่นมาจนถึงปัจจุบัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี