การเริ่มต้นของหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในการแสดงความเป็นชาติไทย ตลอดจนการแสดงความทันสมัย ดังจะเห็นได้มีประกาศรัฐนิยมออกมาหลายฉบับ และฉบับหนึ่งก็คือเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย ดังที่ได้เล่ามาแล้ว มือทำงานระดับรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงครามนั้นไม่ใช่ใครอื่น คือหลวงวิจิตรวาทการ นักการเมืองท่านนี้ ไม่ใช่สมาชิกของคณะราษฎร ท่านเป็นนักการทูต ที่เคยไปประจำอยู่ที่สถานทูตไทยทั้งที่นครปารีส และนครลอนดอน หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในตอนแรก ท่านเป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมมือกับพระยาโทณวณิกมนตรีจะจัดตั้งคณะชาติเพื่อแข่งขันทางการเมืองกับคณะราษฎรนั่นเอง แต่ต่อมาท่านสามารถมาร่วมงานกับรัฐบาลของคณะราษฎรได้ตั้งแต่สมัยพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อหลวงพิบูลฯขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2481 หลวงวิจิตรวาทการก็ได้เป็นรัฐมนตรีร่วมอยู่ในรัฐบาลชุดแรก การทำงานของท่านนั้นอาชีพหลักตั้งแต่แรกคือเป็นนักการทูตอยู่กระทรวงการต่างประเทศ และท่านได้ย้ายตำแหน่งอยู่สองสามครั้ง และในปลายสมัยของรัฐบาลพระยาพหลฯท่านได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งใครหลายคนก็บอกว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับท่านมาก เพราะท่านรู้ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณคดี รวมทั้งนาฏกรรมต่างๆแถมยังมีความสามารถพิเศษถึงขนาดเขียนบทละครได้ดีและแต่งเพลงปลุกใจได้ยอดเยี่ยมด้วย ปรากฏว่าเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483 รัฐบาลของหลวงพิบูลฯก็ได้เสนอเปลี่ยนแปลงวันขึ้นต้นปีของไทยจากเดิมที่ใช้อยู่คือวันที่ 1 เมษายน มาเป็นวันที่ 1 มกราคม จึงเหมือนกับการขึ้นต้นปีของประเทศต่างๆ ในทางตะวันตกซึ่งตอนนั้นกล่าวกันว่าเหมือนกับสากล
รัฐบาลได้เสนอร่างปีปฏิทินต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยหลวงวิจิตรฯรัฐมนตรีลอยเป็นผู้แถลงต่อสภาฯ มีความที่น่าสนใจหลายตอนดังนี้
“…เพื่ออนุโลมตามปีประเพณีของไทยแต่โบราณหรือให้ตรงกับที่นิยมใช้ในต่างประเทศที่เจริญแล้วในปัจจุบัน… รัฐบาลจึงได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในวิชาการที่เกี่ยวกับเรื่องปีปฏิทินนี้ รายงานของคณะกรรมการซึ่งได้เสนอต่อรัฐบาลนั้น… ชาติไทยของเราตั้งแต่โบราณนั้น เราได้ขึ้นปีใหม่เมื่อเดือนอ้ายเพราะเหตุนี้เราจึงได้เรียกเดือนว่าเป็น เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม และเดือนสี่… ซึ่งการเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่นั้นเป็นคติพราหมณ์คือหมายความว่าบรรดาสงกรานต์ที่ตกในเดือนเมษายนนั้นหมายความว่าเป็นวันสงกรานต์ใหญ่ยิ่งในบรรดาสงกรานต์… เราขึ้นปีใหม่ถึง 2 ครั้งครั้งแรกเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 …เผอิญ มาถึงร.ศ.108 คือ ปี พ.ศ.2432 วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เผอิญมาตรงวันที่ 1 เมษายนพอดีฉะนั้นจึงได้ทรงประกาศพระบรมราชโองการให้ถือวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา…”
หลวงวิจิตรฯได้อารัมภบท และบรรยายแจ้งเหตุและผลมาอย่างยาวพอสมควรเพื่อเป็นการปูพื้นฐานจูงใจให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคล้อยตาม หลังจากนั้นท่านจึงสรุปข้อเสนอที่สำคัญของรัฐบาลว่า
“รัฐบาลเชื่อว่าถ้าเราได้ตกลงถึงวันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นต้นปีแล้ว ก็จะเป็นการอนุโลมตามจารีตประเพณีของไทยเราตั้งแต่โบราณนั้นอย่างหนึ่ง และเป็นการที่เข้าระดับสากลซึ่งความสะดวกในการติดต่อกับต่างประเทศ ในฐานะที่เราเป็นประเทศที่มีความเจริญแล้ว ถ้าหากว่าเราได้ถืออะไรให้ตรงตามที่ถือกันโดยทั่วๆ ไป เราก็จะได้รับความนิยมนับถือว่าเป็นพวกที่มีความเจริญด้วย”
ยามนั้นเป็นยามที่นายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงคราม เรืองอำนาจ จึงไม่ยากเลยที่ร่างกฎหมายที่เสนอให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จะผ่านไปได้ด้วยดี โดยจะเริ่มตั้งต้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมข้างหน้าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของปีพ.ศ. 2484 ผลก็คือปีพ.ศ. 2483 จะมีอยู่เพียงเก้าเดือนเท่านั้น
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี