ถ้าประเทศนี้หรือโลกนี้มีเพียงระบอบเศรษฐกิจการเมืองเดียว ปัญหาของมนุษย์คงไม่มากมายอย่างทุกวันนี้ และคงไม่มีสงครามระหว่างความเชื่อในระบอบต่างๆ แต่เมื่อประเทศนี้และโลกนี้มีมากกว่า 1 ระบอบ มันย่อมเป็นปฏิปักษ์กัน “สงครามระบอบ” จึงไม่สามารถเลี่ยงได้
เพื่อช่วงชิงอำนาจหรือความเป็นใหญ่
ระบอบดั้งเดิมของประเทศไทย...กล่าวโดยรวมก็คือ “ระบอบกษัตริย์” หรือกษัตริย์เป็นใหญ่ เป็นผู้ปกครองบ้านเมือง ในระบอบนี้ไม่ว่าจะมีการแย่งชิงอำนาจกันสักกี่ครั้ง ผู้ชนะก็จะปราบดาภิเษกตนเองเป็นกษัตริย์ หรือถ้ามีการสืบราชสันติวงศ์ก็จะมีการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างสันติ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบายหรือวิธีการ ก็ยังคงอยู่ในระบอบเดิม
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2475 จึงมีระบอบใหม่เกิดขึ้น เป็นระบอบที่ถูก “นำเข้า” มาจากประเทศตะวันตก(ฝรั่งเศส)
เพราะคนไทยได้ไปศึกษาหาวิชาความรู้ที่นั่น และพบว่าได้มีการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส เปลี่ยนระบอบกษัตริย์เป็นระบอบใหม่ที่เรียกกันว่า “สาธารณรัฐ” จึงเกิด “จิตกำเริบ” กระหายจะเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นอย่างประเทศฝรั่งเศสบ้าง จนได้จัดตั้งกลุ่มของตนขึ้นเรียกว่า “คณะราษฎร” เข้าแย่งชิงอำนาจจากกษัตริย์ได้สำเร็จ ( 24 มิถุนยน 2475)
ผู้ชนะไม่ต้องการเป็นกษัตริย์ แต่ต้องการสถาปนานระบอบใหม่ที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ขึ้นมาแทนระบอบกษัตริย์ ส่วนจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ คนที่ “อ่าน” ประวัติศาสตร์กระแสหลักตามหนังสือทั่วไป และประวัติศาสตร์ที่อยู่ในรูปการบันทึกชั้นต้นก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี
เมื่อแย่งยึดอำนาจจากกษัตริย์ได้แล้ว ภายในกลุ่มคณะราษฎรเองก็ทำลายฝ่ายตรงข้าม(กษัตริย์) และทำลายกันเองเพื่อแย่งกันเป็นใหญ่ ทั้งหมดใช้เวลาถึง 25 ปี กว่าตัวละครในคณะราษฎรจะเสื่อมสลายไป และเข้าสู่ยุคเผด็จการทหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
พร้อมกันนั้นองค์พระมหากษัตริย์ก็เริ่มแผ่บารมีมากขึ้น
แม้คณะราษฎรจะเสื่อมสลายไปแล้ว แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่จัดตั้งระบอบใหม่อยู่ในเงามืด นั่นคือ “คอมมิวนิสต์” โดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ประเทศไทยจึงมี 2 ระบอบหลักที่ขัดแย้งและต่อสู้กันนับแต่นั้นมา คือ
1 ระบอบประชาธิปไตยที่นำเข้าโดยคณะราษฎร รวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์ที่อ้างว่ามีอุดมการณ์ประชาธิปไตยด้วย
2 ระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ทั้ง 2 ระบอบนี้ต่อสู้กันมานับแต่ปี พ.ศ. 2475 ผ่านสงครามคอมมิวนิสต์ และการปฏิวัติของประชาชนใน 14 ตุลาคม 2516 (ขับไล่เผด็จการทหารออกนอกประเทศ) จากนั้นประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยตามแบบนานาประเทศ อย่างน้อยก็มีการเลือกตั้ง (ซึ่งก็มีการแย่งยึดอำนาจโดยทหารบ้าง)
ดูเหมือนว่า “การปรับสมดุล” ด้านการเมือง – การปกครองของ 2 ระบอบหลัก คือระบอบประชาธิปไตยกับระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญกำลังจะดำเนินไปด้วยดี แต่แล้วก็เกิดวิกฤติการณ์ขับไล่เผด็จการทหารคณะเดิมที่เดินทางกลับเข้าประเทศไทย จนเป็นโศกนาฏกรรมในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และเป็นบาดแผลลึกที่เยียวยาไม่เคยหายมาจนวันนี้
นั่นคือการปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เป็นศูนย์ชุมนุมต่อต้านเผด็จการทหารกลับเข้าประเทศ มีการเข่นฆ่าผู้ชุมนุมอย่างโหดเหี้ยม และจับกุมคุมขังนักเรียน นักศึกษา ประชาชนจำนวนมาก (ส่วนพวกคอมมิวนิสต์ที่เข้ามาจัดตั้งพวกนักเรียน นักศึกษาและกรรมกรนั้นรู้ตัวล่วงหน้าและถอยออกไปก่อนวันล้อมปราบแล้ว) ส่งผลให้มีคนจำนวนมากเจ็บแค้นและเข้าป่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ กลายเป็นศึกสงครามที่ยืดเยื้อมาอีกหลายปี จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์ ถูกปราบปรามและเสื่อมสลายไป ทั้งโดยนโยบายของรัฐและ “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” ของพรรคคอมมิวนิสต์เอง
ไม่ว่าใครหรือฝ่ายไหนจะผิดหรือถูก แต่สงครามระบอบก็ไม่เคยยุติ หากแต่ยังคงคุอยู่ในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย อันเป็นผลมาจากบาดแผลในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และปะทุให้เห็นเป็นบางครั้ง อย่างในปี พ.ศ. 2552-2553 เป็นต้น
วันนี้สงครามระบอบกำลังเผชิญหน้าและท้าทายกันอีกวาระ!
เป็นการเผชิญหน้าและท้าทายกันในระบอบประชาธิปไตย ที่แตกแยกเป็น 2 ฝ่ายหรือ 2ระบอบย่อย นั่นคือ ฝ่ายที่ต้องการมีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญต่อไป กับฝ่ายที่ไม่ต้องการ
ฝ่ายแรกมีทหารเป็นแกนนำ
ฝ่ายหลังมีพรรคการเมืองฝ่ายค้านเป็นแกนนำ
แน่นอนว่าพลเมืองไทยส่วนมากก็ถูกแบ่งแยกด้วย ทั้งโดยเจตนาของตนและโดยกระแสลมปาก แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน สังคมไทยก็สะสมความร้อนระอุไว้เช่นเดียวกับลาวาภายใต้ภูเขาไฟ หากไม่มีสติ...สงครามกลางเมืองก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง!
บาดแผลเก่าจะถูกขยายให้กว้างและลึกมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มบาดแผลใหม่ด้วย
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี