อาทิตย์ก่อนโลกลุ้นว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกากันอย่างชนิดที่เรียกว่า “ไม่พริบตา” การเลือกตั้งในอเมริกาแตกต่างจากการเลือกตั้งในบ้านเรา ช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหลือหลาย จนแม้แต่คนอเมริกันเองก็ยังทำหน้าเหมือนปวดท้องอึแทบทุกคน เวลาอธิบายให้ชาวต่างชาติจากประเทศอื่นฟังในฐานะที่อาศัยแผ่นดินนี้เป็นบ้านหลังที่สอง จึงเขียนถึงเรื่องนี้คร่าวๆเผื่อจะเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น
ขั้นตอนแรกในศึกชิงเก้าอี้ผู้นำเริ่มจากการหยั่งเสียงเลือกตัวแทนพรรคก่อนที่จะส่งตัวเต็งหนึ่งเดียวไปชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ทั้ง 2 พรรคเองมีผู้ลงสมัครหลายคน จึงต้องมีการแข่งขันกันเองภายในพรรค แต่ละคนจะต้องหาเสียงสนับสนุนจากพรรคเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นตัวแทนเพียง 1 เดียวคนนี้ จากนั้นผู้สมัครตัวเต็งของทั้งสองพรรคจะรณรงค์หาเสียงทั่วประเทศ เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนจากผู้มีสิทธิออกเสียง ตัวแทนทั้งสองพรรคจะต้องเข้าสู่กระบวนการดีเบตหรือการโต้วาที เพื่อนำเสนอนโยบายและตอบข้อซักถามบนเวทีเดียวกัน เราคงเห็นว่าทุกครั้งที่ทรัมป์ดีเบตจะโวยวายกวนตีนทุกหน ทำตัวกวนป่วนโจไบเดนตลอดเวลา จนชาวโลกรู้สึกว่า ดูหมากัดกันยังสนุกกว่าเพราะดูแล้วไม่ได้อะไรเป็นชิ้นอัน นอกจากสาดโคลนใส่กันรัวๆ
ทุกปีที่มีการเลือกตั้งประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งก็จะไปที่ศูนย์เลือกตั้งเพื่อเลือกผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ปีนี้แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง เนื่องจากการระบาดจัดหนักของโควิด 19 ที่กลายเป็นปัญหาร่วมของชาวโลก นาทีที่เขียนต้นฉบับมียอดป่วยสะสมสิบล้านกว่ารายและตายไปเกือบสองแสนห้าหมื่นคน ยอดป่วยรายวันพุ่งสูงถึงวันละแสนกว่าๆ แสนหนึ่งบ้าง แสนสองหมื่นบ้าง หนักหนาสาหัสจนไม่รู้จะทำยังไง โรงพยาบาลที่มีในแต่ละชุมชนก็ไม่เพียงพอต่อคนป่วยใหม่เลย มีการให้ลงคะแนนทางไปรษณีย์ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงทีนี้ พวกที่กลัวโควิดส่วนใหญ่คือสายเดโมแครต ส่วนทรัมป์นั้นเอาแต่หนุนให้สาวกตัวออกมาเสี่ยงด้วยการเข้าคูหาเลือกตั้ง อย่าได้คิดว่าหน่วยเลือกตั้งที่นี่จะบริการดีแบบเราทุกคนต้องหิ้วเจลล้างมือมาเอง และไม่มีการวัดไข้อะไรทั้งนั้นเลย กลายเป็นว่าพอมีการนับคะแนนของพวกที่โหวตทางไปรษณีย์ คะแนนโหวตไบเดนเลยนำลิ่ว เพราะพวกนี้โหวตให้ทางไปรษณีย์
วกกลับมาที่การเลือกตั้งแบบอเมริกัน แทนที่จะจบลงในขั้นตอนนี้กลับซับซ้อนขึ้นไปอีกด้วย การเลือกตั้งของคณะผู้เลือกตั้งที่เข้าไปทำหน้าที่แทนประชาชน หน้าที่ของคณะผู้เลือกตั้งคือมาประชุมเพื่อออกเสียงเลือกผู้สมัครที่ประชาชนข้างมากในรัฐของตนเลือกไว้ และถือเป็นการออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ คณะผู้เลือกตั้งถือเป็นตัวแทนในการออกเสียงแทนประชาชนในรัฐ โดยจำนวนคณะผู้เลือกตั้งของแต่ละรัฐจะมาจากจำนวนเขตการปกครองบวกวุฒิสภาอีก 2 คน เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียมี 53 เขตการปกครองคณะผู้เลือกตั้งของรัฐแคลิฟอร์เนียจึงมี 55 คน (53 + 2)บางรัฐแม้กว้างใหญ่ แต่อาจจะมีคณะผู้เลือกตั้งแค่ 6 คนไอ้ตัวเลขเหล่านี้นี่แหละคือคะแนนในการเอามาตัดสินการแพ้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี คณะผู้เลือกตั้งจากทุกรัฐรวมทั้งหมด 538 คน ดังนั้นรัฐที่มีจำนวนประชากรหรือเขตการปกครองมากจะมีจำนวนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งมากกว่าทำให้รัฐนั้นมีความสำคัญต่อผลการเลือกตั้งมากกว่ารัฐอื่น
หากคณะผู้เลือกตั้งพรรคไหนได้คะแนนมากกว่า ก็จะได้คะแนนเสียงทั้งหมดของรัฐไปเลยหรือที่เรียกว่า The winner takes all ถือว่าได้ผู้ชนะไปโดยปริยายผู้สมัครจะต้องได้เสียงจากคณะเลือกตั้งให้ได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของ 538 เสียง นั่นคือสามารถได้มาครบ 270 เสียง ใครได้คะแนนครบ 270 ก่อน ก็ชนะรอจนถึงเดือนมกราคมปีหน้าก็เดินผิวปากยักไหล่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าทำเนียบขาวไปได้เลยอีกศัพท์หนึ่งที่ต้องเรียนรู้คือบลูสเตทกับเรดสเตทบลูสเตท คือรัฐที่เป็นฐานเสียงพรรคเดโมแครตเพราะเป็นสีประจำพรรค ส่วนเรดสเตทคือรัฐที่เป็นฐานเสียงพรรครีพับลิกัน แต่มีอีกคำหนึ่งคือสวิงสเตท นั่นคือรัฐที่ฐานเสียงไม่แน่นอนและสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาไม่ตายตัว รัฐที่เป็นเรดสเตทจะอยู่ทางใต้ยาวไปถึงทางตอนกลางของประเทศ ส่วนรัฐที่เป็นบลูสเตทจะอยู่ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก อารมณ์ลุ้นในการเลือกตั้งจะอยู่ที่บรรดาสวิงสเตททั้งหลายหนก่อนไปดวลกันที่รัฐมิชิแกน หนนี้นัดหยุดโลกอยุ่ที่รัฐเพนซิลเวเนีย
โลกแทบหยุดหายใจตอนเหลือแค่สี่รัฐที่ยังนับคะแนนไม่เสร็จระหว่างรอนับคะแนน โจ ไบเดนได้คะแนนนำตาลุงผมเป๋ อยู่ที่ 253 ส่วนทรัมป์ได้ 214 คะแนน ทุกคนต่างลุ้นเพราะรัฐสองรัฐคือเนวาด้ากับแอริโซน่า กลายเป็นสีฟ้าอ่อนแสดงว่าไบเดนนำ แต่จอร์เจียและเพนซิลเวเนียเป็นสีชมพู หมายถึงทรัมป์มีคะแนนนำตอนนั้น การรอลากยาวไปสามวันสุดท้ายสีชมพูในสองรัฐที่ว่าก็เปลี่ยนเป็นฟ้า เพราะไบเดนมีคะแนนตีตี้นขึ้นมาเรื่อยๆ จนก็ชนะคะแนนในเพนซิลเวเนียซึ่งเป็นรัฐบ้านเกิด ส่งผลให้ได้คะแนนไป 20 แต้ม ทำให้คะแนนพุ่งไป 273 คะแนน ชนะตาลุงผมเป๋ในพริบตาก่อนการเลือกตั้ง บรรดาร้านรวงและร้านอาหารเอาไม้อัดมาตอกปิดตายประตูและกระจกเพราะคาดว่าจะเกิดจราจลแน่นอน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดระหว่างการนับคะแนน พลเมืองอเมริกันกรูกันออกมาสนับสนุนตามจริตตนสาวกทรัมป์ก็ดาหน้าไปข่มขู่เจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้ง กล่าวหาว่ามีการโกงในการนับคะแนน ขอให้ยกเลิกการนับคะแนนทันที คือพวกนี้จะออกมาตอนที่รัฐที่ทรัมป์เคยมีคะแนนนำเพลี่ยงพลั้งไอ้ที่เคยนำกลายเป็นเป๋เหมือนทรงผมลุงแกเปลี่ยนสีชมพูเป็นสีน้ำเงินแบบพลิกโผ ส่วนพวกที่สนับสนุนโจไบเดน ก็ออกมาขอให้นับคะแนนต่อจนคะแนนสุดท้ายมีการอัดกันบ้างระหว่างสาวกทรัมป์กับตำรวจหรืออัดกันเองระหว่างพลเมือง ซึ่งไม่ว่าฝ่ายไหนทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีทุกราย
ตาลุงผมเป๋เองก็ใช่ย่อย พอแพ้คะแนนรัฐที่คิดว่าตัวเองจะชนะก็โวยวายฟ้องศาลในรัฐนั้นทันที แต่อย่าคิดว่าศาลในรัฐนั้นจะยอมมิชิแกนกับวิสคอนซิลส่ายหน้าบอก ไม่รับคำ (ขู่) ฟ้องช่วงที่ยังไม่รู้หมู่จ่า ลุงผมเป๋ออกมาสะบัดบ็อบประกาศชัยชนะซะงั้น สื่อหลายช่องถึงกับทนไม่ไหว ไม่ยอมถ่ายทอดสดยกเลิกการถ่ายทอดสดทันที โดยให้เหตุผลว่า ทั้งหมดนี้คือความเท็จแม้กระทั่งทวิตเตอร์ก็ลบข้อความที่ทรัมป์ทวิตรัวๆ อย่างบ้าคลั่งไม่ว่าจะอย่างไร ประธานาธิบดีคนต่อไปคือโจ ไบเดน และมีรองประธานาธิบดีชื่อ กมลา แฮร์ริส ที่เธอประกาศอย่างภูมิใจว่าเป็นลูกสาวผู้อพยพที่เดินเข้าทำเนียบขาว แม่ของกมลาเป็นหญิงอินเดียและพ่อเป็นคนผิวดำจากจาไมก้า
เรามารู้จักลุงโจหน่อยดีไหม ไหนๆจะมาคุมบังเหียนอเมริกาสี่ปีจากนี้ไป หลายคนคุ้นชื่อ โจ ไบเดน เพราะเคยเป็นรองประธานาธิบดีสมัยประธานาธิบดีโอบาม่า ซึ่งได้รับเลือกถึงสองสมัยหรือ 8 ปีว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 รายนี้ เกิดเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2485 ที่เมืองสแกรนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ และด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ หลังจากนั้นเริ่มเข้าสู่การเมืองด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเขตนิวแคสเซิล ในรัฐเดลาแวร์และขยับมาลงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐในเวลาต่อมา ซึ่งชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2515 ไบเดนได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐเดลาแวร์สมัยแรกขณะที่มีอายุ 29 ปี ต่อมาชนะเลือกตั้งอีก 6 ครั้ง ทำให้อยู่ในตำแหน่งวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ นานถึง 36 ปี
ยืนหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมาธิการด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศและด้านยุติธรรมของวุฒิสภาสหรัฐฯ หลายครั้ง บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 44 เลือกไบเดนลงสนามชิงประธานาธิบดีคู่กับตนจนชนะการเลือกตั้งผู้นำประเทศเมื่อปลายปี 2551 ไบเดนดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ในสมัยของประธานาธิบดีโอบาม่าจนถึงปี 2560 ต่อมาสมัครชิงประธานาธิบดีและได้คะแนนนำทรัมป์จนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีไบเดน ขึ้นชื่อเรื่องการประนีประนอมจนสามารถทำงานได้กับทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนออกมาสนับสนุนไบเดนอย่างเปิดเผยในการแข่งขันเลือกตั้งกับประธานาธิบดีทรัมป์ ครั้งนี้ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ กำลังจะมีอายุครบ 78 ปีในวันที่ 20 พฤศจิกายน กลายเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
ไบเดนชูนโยบายแนวทางสายกลางค่อนไปทางเสรีนิยม เช่น การขยายการครอบคลุมสำหรับการประกันสุขภาพจากกฎหมายประกันสุขภาพ Afforable Care Act หรือโอบามาแคร์สนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการผลักดันให้สหรัฐฯ เข้าไปมีบทบาทนำบนเวทีโลกอีกครั้งด้วยการกลับไปทำข้อตกลงทวิภาคีสำคัญต่าง ๆ เช่น สนธิสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก และสนธิสัญญายับยั้งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นต้น
ที่แน่ๆคือคงจัดการปัญหาโควิดในอเมริกาได้ดีกว่าตาลุงผมเป๋อย่างแน่นอน เพราะออกนโยบายในการป้องกันโควิดมาแล้วอย่างแรกที่ทำให้อเมริกันเฮคือ วัคซีนฟรีสำหรับทุกคนและมาตรการบังคับให้สวมหน้ากากอย่างเคร่งครัด คงต้องดูกันต่อว่าการนำประเทศภายใต้ประธานาธิบดีอาวุโสกับสาวลูกครึ่งอินเดีย ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีจะมีทิศทางอย่างไร
..................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี