อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ควรจะมีความสุขกันทั่วหน้า เนื่องจากวันพฤหัสฯที่กำลังจะมาถึงเป็นวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งถือเป็นวันครอบครัวเช่นเดียวกับวันคริสต์มาส วันนี้ถือเป็นวันหยุดหลายคนเตรียมเดินทางไปหาครอบครัวในรัฐต่างๆ ทั้งทางรถและทางเครื่องบิน ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่คนอเมริกันมีความสุขมากที่สุด นั่นคือช่วงสัปดาห์ขอบคุณพระเจ้ายาวไปถึงคริสต์มาส
หลายครอบครัวตระเตรียมทำอาหารมื้อใหญ่ เพราะมีการรับประทานมื้อใหญ่ร่วมกัน อาหารหลักคือไก่งวงที่รับประทานกับแครนเบอรี่ซอส มันฝรั่งบดราดเกรวี่ และเครื่องเคียงอื่นๆ ที่ชอบ แต่พอไปช้อปอาหารสดแห้ง ทุกคนต่างร้องอู้ เพราะราคาสินค้าทั้งสดแห้งแพงลิบลิ่ว แบบไม่ต้องตามข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นก็เห็นได้ชัด แถมสินค้าบางอย่างกลับมาขาดตลาดอีกแล้ว
มาดูกันว่าสถานการณ์ทางการเงินของประเทศตอนนี้ตึงขนาดไหน สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (consumer price index) หรือ CPI ว่าเพิ่มขึ้นถึง 6.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังสูงสุดในรอบ 30 ปีนับตั้งแต่ปี 1990 คุณพระ..ในรอบ 30 ปีเลยนะ และยังไม่มีทีท่าที่จะลดลง เรื่องนี้ทำเอาลุงโจ ไบเดน เต้นเร่า เพราะปัญหาของแพงนั้นโค่นเก้าอี้ประธานาธิบดีได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนถึงกับออกมาประกาศปังดังลั่นว่า “เศรษฐกิจเงินเฟ้อทำร้ายกระเป๋าสตางค์ชาวอเมริกัน และการเปลี่ยนสิ่งนี้ถือเป็นงานอันดับต้นของผม”
ให้ไวเลย ลุงโจ เช็คราคาสินค้าของสดของแห้ง โดยเฉพาะราคาเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะหมูหรือเนื้อแพงขึ้นแบบปากอ้าตาค้าง โดยเฉพาะเนื้อวัว ส่วนเนื้อไก่นั้นราคาขึ้นๆ ลงๆ เช่นเดียวกับหมู แต่ในส่วนเนื้อวัวนี่ไม่ต้องพูดถึง แพงทะลุเพดานไปยันอวกาศอย่างน่ากลัว
ดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งถือเป็นตะกร้ารวมของสินค้าผู้บริโภค ตั้งแต่สินค้าจำเป็นขั้นพื้นฐานกระดาษชำระไปจนถึงน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนค่าเช่าบ้านในสหรัฐฯไต่สูงขึ้น 6.2% เทียบกับการคาดการณ์ของดาวน์โจนส์ที่ 5.9% เรื่องนี้แหละคือฝันร้ายของมวลมหาอเมริกัน เพราะของกินของใช้แพงขึ้น ทุกอย่างย่อมแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว คนที่กำลังจะเดินทางหรือจับจ่ายใช้สอยเพื่อเตรียมอาหารมื้อสำคัญสำหรับสมาชิกในครอบครัวเกาหัวแกรกไปตามกัน พลางพยายามนึกหาวิธีทำอาหารอร่อยแบบประหยัด เพราะราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้น 0.9% ต่อเดือน และเพิ่ม 5.3% ต่อปี ในส่วนของอาหารพบว่า เนื้อสัตว์ประเภทวัว หมู สัตว์ปีก ปลา และไข่ราคาสูงขึ้น เพิ่มขึ้น 1.7% ต่อเดือนและ 11.9% ต่อปี
ถือเป็นเรื่องซีเรียสมากเวลานี้ ขนาดสถานีวิทยุในซานฟรานซิสโกถึงกับเปิดสายถามคนฟังรายการเรื่องของกินของใช้แพง แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรในการใช้จ่ายช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หลายคนให้ความเห็นว่า ปีนี้เราไม่ต้องกินไก่งวงทั้งตัวก็ได้ เอาแค่ครึ่งตัวก็หรูแล้ว หรือเลิกฉลองไปเลยดีกว่า
สถานี CNN รายงานข่าวคู่สามีภรรยาที่ตกงาน และได้รับเงินค่าอาหารจากการใช้ฟู้ดแสตมป์ พออาหารชนิดไหนลดราคามากๆ ก็จะซื้อตุนไว้ เช่น คู่นี้ซื้อพายแอปเปิ้ลสามถาด เพราะลดราคา แล้วแช่ในตู้เย็นเพื่อเป็นมื้อค่ำของครอบครัว
พวกที่จะขับรถไปเยี่ยมครอบครัวรัฐอื่น เพราะไม่อยากเสี่ยงโควิดด้วยการเดินทางโดยเครื่องบินก็ถอนใจ เพราะราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้น 12.3% ต่อเดือน โดยในภาพรวมพบว่าราคาเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้น 4.8% ในเดือนตุลาคม และสูงขึ้น 30% ในช่วงตลอด 12 เดือน เรียกว่าไม่ว่าจะขยับทางไหนก็เดือดร้อนบาดเจ็บกันทั่วหน้า
ส่วนสถานการณ์โควิดก็เริ่มกลับมาระบาดอีกแล้วหลังวันฮาโลวีน ก่อนหน้านี้อเมริกาอ้างว่าพวกที่ติดโควิดส่วนมากคือพวกที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน แต่อาทิตย์นี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเตือนว่า กำลังพบเห็นจำนวนคนฉีดวัคซีนครบเข็มแล้วแต่ยังป่วยหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือต้องเข้าห้องฉุกเฉินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เลยมีการประกาศให้ทุกคนที่อายุมากกว่า 18 ปีไปฉีดเข็มสาม
เรื่องนี้ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะไม่มีการยกการ์ดป้องกันตัวเองกันทุกคนทุกภาคส่วน การ์ดตกอย่างสิ้นเชิงด้วยความประมาท คนที่ฉีดวัคซีนสองเข็มแล้วก็ใช้ชีวิตแบบไม่กลัวโควิด และไม่ป้องกันอะไรเลย ผลคือบางคนติดโควิด หามเข้ารพ. แต่กลุ่มเสี่ยงที่สุดคือพวกที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนเลยนั่นแหละ
หลายคนอาจจะร้องค้านในใจ จะเป็นไปได้ไง ประเทศนี้มีแต่วัคซีนเทพตัวท็อปทั้งนั้น ข้อมูลล่าสุดของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ พบว่ายอดผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโควิดแตะระดับอย่างน้อย 770,691 ราย ในขณะที่บางเว็บรายงานว่าแตะแปดแสนราย
หากนับเฉพาะยอดเสียชีวิตในปี 2021 ซึ่งยังไม่สิ้นปีของซีดีซี คือ 385,348 ราย มากกว่ายอดเสียชีวิตทั้งปี 2020 เสียอีก นี่ขนาดมีวัคซีนเทพนะ จะไม่ตายเกลื่อนได้ไง ในเมื่อไม่ยอมฉีดวัคซีนกันเลย พอรัฐบาลกลางบังคับฉีด หมอพยาบาล เจ้าหน้าที่รัฐก็ยอมลาออก ยอมตกงานดีกว่าฉีดวัคซีน
ข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่าอเมริกันฉีดวัคซีนอย่างน้อยบางเข็มราวๆ 69% และฉีดวัคซีนครบเข็มแล้วคิดเป็นสัดส่วน 59%
ในช่วงที่เป็นเทศกาลงานเฉลิมฉลอง แต่กลับเต็มไปด้วยข่าวร้าย รถเอสยูวีคันหนึ่งขับพุ่งชนขบวนพาเหรดคริสต์มาสในเมืองวอเคชา รัฐวิสคอนซิน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 คนและบาดเจ็บอีก 40 คน ตอนนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเป็นการก่อการร้ายหรือไม่
มาดูสถานการณ์ทางฝั่งตะวันตก สมัยก่อนใครๆ ก็อยากไปซานฟรานซิสโก แต่ตอนนี้ซานฟรานซิสโกกลายเป็นเมืองที่ไม่น่าไปเยือนอย่างยิ่ง ตั้งแต่ทำร้ายร่างกายคนเอเชีย ยิ่งทำให้กลายเป็นแดนเถื่อนมากขึ้น ล่าสุดฝูงโจรรุมปล้นร้านหรูอย่างเปิดเผย หัวขโมยหลายสิบคนยกพวกปล้นสะดมห้างสรรพสินค้านอร์ดสตรอม สาขาหนึ่งใกล้ซานฟรานซิสโก คือห้างนี้สินค้าจะมีระดับนิดหนึ่ง โจรพวกนี้ทุบกระจกแล้วหยิบฉวยสินค้าเอาตามใจชอบ
ก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ในร้านหรูหลายแห่ง ทั้งในจัตุรัสยูเนียนและพื้นที่ต่างๆโดยรอบในซานฟรานซิสโก รวมถึงห้างหลุยส์ วิตตอง ห้างเบอร์เบอรี ห้างขายเพชรพลอย ห้างบลูมมิงเดลส์ ช่วงนี้มีเหตุชิงทรัพย์และลักขโมยเพิ่มขึ้นจากหนึ่งปีก่อนหน้านี้เกือบ 88% และอาชญากรรมโดยรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 52%
ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นกฎหมายของเมืองนี้ด้วยก็ได้ เท่าที่จำได้คือ หากเกิดการขโมยเกิดขึ้นที่ใดร้านไหน หากราคาสินค้าที่ถูกขโมยไม่เกิน 950 ดอลลาร์ (ตีเป็นเงินไทยคร่าวๆ คือไม่เกินสามหมื่นบาท) อาจไม่ฟ้อง ทำให้ซานฟรานซิสโกกลายเป็น “ศูนย์กลางของการก่ออาชญากรรมค้าปลีก” สืบเนื่องมาจากกฎหมายการพิจารณาคดีของแคลิฟอร์เนียเปลี่ยนแปลงไปในปี 2014 ว่าการโจรกรรมทั้งหมด มีมูลค่าต่ำกว่า $950 ซึ่งจะไม่เป็นความผิดทางอาญาเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของอัยการ เรียกว่าอยากช้อปแต่ไม่มีเงินจ่าย..ว่างั้น เลยกวาดเอาไปดื้อๆ แบบนี้
วันขอบคุณพระเจ้าปีนี้คงตัวใครตัวมัน ปกป้องคุ้มครองตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย ทั้งจากราคาสินค้าและโจร กินอิ่มนอนอุ่นแล้วคงต้องไม่ลืมสวดวิงวอนให้พระเจ้าคุ้มครองอเมริกาด้วย May God Bless America.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี