สมกับเป็นประเทศค้าสงครามที่แท้ทรู ที่ไหนสงบ ต้องเปิดดีลให้เกิดการรบให้ได้ ล่าสุดนี้ไอ้นกอินทรีหัวล้าน
บินฉวัดเฉวียนแถวเอเซียแปซิฟิกนี่แหละ คงมองหาตลาดอาวุธใหม่ จนต้องมาวางเบี้ยหมากไว้ทั่วทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก
ไม่ต้องดูอื่นดูไกล ศึกสองจีนที่ฮึ่มใส่กันมานาน แต่ก็แค่ฮึ่มใส่กันแบบตามคนต่างอยู่มานาน พออเมริกาขาเผือกมายุ่มย่ามวุ่นวาย ไอ้ที่ฮึ่มใส่อาจกลายเป็นการหันปากกระบอกปืนใส่กันสักวัน เพราะไอ้นกอินทรีหัวล้านนี่ก็เสี้ยมจัง เสี้ยมไม่หยุด แถมยั่วยุอาเฮียแผ่นดินใหญ่สารพัดวิธี
ล่าสุดอเมริกาเปิดเผยว่าจัดเต็มแพ็กเกจอาวุธให้กับไต้หวันมูลค่าสูงถึง 345 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ทำให้จีนหัวร้อนอีกรอบ
สภาคองเกรสอนุมัติความช่วยเหลือด้านอาวุธ ผ่านอำนาจของประธานาธิบดีตามกฎหมาย ส่งมอบสิ่งของและบริการยามฉุกเฉิน (Presidential Drawdown Authority) มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ให้แก่ไต้หวันในงบประมาณปี 2566
ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนอเมริกาจะขายอาวุธให้ไต้หวันรัวๆ เลยนะ ปีนี้ นับวันท่าทีไต้หวันจะแข็งกร้าวยิ่งขึ้น น่าจะเพราะ
อิงอกเหี่ยวๆ ของลุงแซมอยู่นั่นแหละ ไต้หวันปฏิเสธการอ้างสิทธิ์ของจีนเหนืออธิปไตยของไต้หวันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ขณะที่จีนเรียกร้องหลายครั้งให้สหรัฐซึ่งเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดของไต้หวันหยุดขายอาวุธให้ไต้หวัน
ไม่เฉพาะไต้หวัน หันไปมองแดนจิงโจ้ ปรากฏว่าจิงโจ้กระโดดเข้ามาเป็นเด็กดีของลุงแซมเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นเบี้ยหมากอีกตัวของอเมริกาที่น่าจับตามอง
สหรัฐฯ ประกาศจะสนับสนุนออสเตรเลียในการพัฒนาระบบจรวดหลายลำกล้องแบบนำวิถี ภายในปี 2025 ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แหม..มาแพคคู่เลยนะสองคนนี้เดินทางไปเยือนรัฐควีนส์แลนด์เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี AUSMIN กับบรรดารัฐมนตรีคู่เจรจาของแดนจิงโจ้
รัฐบาลพรรคแรงงานออสเตรเลียหวังยกระดับความร่วมมือด้านการทหารกับสหรัฐฯ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อคานอิทธิพลกับ “จีน” ซึ่งนับวันจะยิ่งแผ่สยายแสนยานุภาพในภูมิภาคมากขึ้นเรื่อยๆ
ริชาร์ด มาร์เลส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย คาดหวังว่าโครงการพัฒนาระบบจรวดนำวิถีหลายลำกล้องคงจะเริ่มต้นอย่างจริงจังได้ภายใน 2 ปี เพื่อใช้เป็นฐานอุตสาหกรรมร่วมระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
นั่นไง..ชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าใดๆ ในโลก ยกให้เลยตำแหน่ง “เด็กดีของลุงแซม” แห่งแปซิฟิกใต้ ส่วนตำแหน่งเด็กดีของลุงแซมแปซิฟิกเหนือนี่ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นยังต้องชิงดำกันต่อว่าชาติไหนจะได้ครองแชมป์ แล้วอเมริกานี่ก็นะ ลุงเฮนรี่ คิสซินเจอร์ไปเดินทางไปเยือนเฮียสีหัวเราะหัวใคร่ใส่กันหมาดๆ ไม่ทันไร ลุงแซมก็ตลบหลังจีนอีกแล้ว
บลิงเคน กล่าวว่า หลักใหญ่ใจความในการเจรจาพูดคุยกับออสเตรเลียครั้งนี้ คือความตั้งใจร่วมกันที่จะธำรงไว้ซึ่งเสรีภาพและความปลอดภัยในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก นั่นไง..สรุปว่าอเมริกาจะไม่ยอมให้หมู่เฮาชาวเอเซียแปซิฟิกอยู่อย่างสุขสงบนั่นแหละ ไม่เชื่อดูจากคำพูดก็ได้ อุตส่าห์ข้ามทวีปมาเผือกถึงนี่
เอาเถอะ แต่มองลึกๆ จะเห็นว่าอเมริกาได้ประโยชน์จากเรื่องนี้สุดๆ ไม่เชื่อดูเรื่องการค้าอาวุธของอเมริกาก็ได้ แม้เศรษฐกิจด้านอื่นทรุดฮวบ จนบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาหลายบริษัท ต้องปลดพนักงานออกเพียบ แต่ดูเหมือนว่าตลาดด้านการค้าอาวุธของลุงแซมเฟื่องฟูอู้ฟู่สุดๆ
กระทรวงการต่างประเทศอเมริกาเปิดเผยเมื่อต้นปีว่า ยอดขายอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ แก่รัฐบาลต่างชาติทั้งหลายเพิ่มขึ้นถึง 49% ในปีงบประมาณล่าสุด แตะระดับ 205,600 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6.7 ล้านล้านบาท นี่ขนาดแค่ต้นปีเองนะ
สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์มเผยแพร่ข้อมูลอุตสาหกรรมอาวุธของโลกประจำปี 2561 จัดอันดับบริษัทที่มียอดขายจากการค้าอาวุธสูงที่สุดเอาไว้ 100 อันดับ 80 แห่งเป็นบริษัทที่มาจากอเมริกา ยุโรป และรัสเซีย
ส่วนประเทศที่มียอดขายสูงสุด 4 อันดับแรกก็คือ อเมริกา รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ตรงนี้สิสำคัญ เพราะตัวเลขไม่โกหกว่า อเมริกาครองตำแหน่งยอดขายอันดับ 1 ในด้านการค้าอาวุธสงคราม
บริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ 5 อันดับแรกของโลกอยู่ในอเมริกาทั้งหมด โดยล็อคฮีด มาร์ติน เป็นบริษัทที่ครองแชมป์ผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก ให้บริการผลิตภัณฑ์ด้านอากาศยาน อวกาศ และการป้องกันที่ทันสมัย เช่น เครื่องบินรบ Missile System เรดาร์และเซนเซอร์ในการตรวจจับตำแหน่ง สัดส่วนรายได้หลัก 27% มาจากการเครื่องบินรบ F-35 Joint Strike Fighter ซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีราคาแพงที่สุดในโลกมูลค่ากว่า 78 ล้านดอลลาร์ต่อลำ โดยในปี 2021 สามารถส่งมอบเครื่องบินนี้ได้ 142 ลำ ในขณะที่มี ยอดจองมากกว่า 3,100 ลำ ยาวไปจนถึงปี 2035
ด้วยเหตุนี้แหละอเมริกาจึงต้องเร่ก่อสงครามที่นั่นที่นี่ เพื่อหาทางขายอาวุธ ซึ่งบริษัทค้าอาวุธในอเมริกามีเอี่ยวกับพรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าพรรคไหนชนะเลือกตั้งและ
จัดตั้งรัฐบาล บริษัทเหล่านี้ก็ทุ่มเงินสนับสนุนไม่อั้น ประมาณว่าผลประโยชน์ร่วมกัน
อดที่จะนึกถึงยูเครนไม่ได้ เพิ่งจะมีข่าวออกมาว่า ยูเครนกลายเป็นชาติที่กับระเบิดมากสุด ต้องกอบกู้ 757 ปี ถึงหมด ทำให้นึกถึงกับระเบิดที่ยังฝังดินอยู่ในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่จนป่านนี้ก็ยังเก็บกู้ไม่หมด
ระเบิดลูกปราย หรือ Cluster Bomb ที่กองทัพอเมริกันทิ้งใส่ลาวเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนลาวจนถึงปัจจุบัน
อเมริกาเคยทิ้งระเบิดในลาวช่วงปี 2503-2513 กองทัพอเมริกาทิ้งระเบิดลูกปรายรวมทั้งหมดประมาณ 260 ล้านลูก ยังมีระเบิดจำนวนมากตกค้างอยู่ และส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน ระเบิดที่ยังไม่ทำงานตกค้างอยู่ในลาวกลายเป็นภัยร้ายแรงต่อการทำเกษตรกรรม โดยเฉพาะชาวไร่ ชาวนา แต่ละปีมีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากระเบิดเหล่านี้
ข้อมูลจากโครงการเก็บกู้ระเบิดแห่งชาติ สปป.ลาว ระบุว่า ช่วงสงครามอินโดจีน ระหว่างปี 2507-2516 ลาวเป็นประเทศที่ถูกสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดลงมาหนักที่สุดในโลก เมื่อเฉลี่ยต่อจำนวนประชากร มีการเก็บสถิติว่ากองทัพอเมริกันนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดใส่ดินแดนของลาวถึง 580,000 เที่ยว เฉลี่ยทุก 8 นาที ต้องมีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด 1 เที่ยว ตลอด 24 ชั่วโมง ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 9 ปี
น้ำหนักของระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาในลาวนั้นมีมากกว่า 2 ล้านตัน ขณะที่จำนวนประชากรลาวในช่วงสงครามนั้นมีอยู่เพียง 1 ล้านคน ระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาส่วนใหญ่เป็นระเบิด
ลูกปราย (Cluster Bomb) มากกว่า 270 ล้านลูก
คาดว่าปัจจุบันยังมีระเบิดลูกปรายอีกประมาณ 80 ล้านลูก หรือ 30% ที่ยังไม่ระเบิดและยังคงคงตกค้างอยู่ในดินแดนลาว ครอบคลุมพื้นที่กว่า 87,000 ตารางกิโลเมตร เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของลาว มาจนถึงทุกวันนี้
แบบนี้จะไม่ให้เรียกอเมริกาว่า พ่อค้าสงครามผู้ค้าความตายได้อย่างไร และพ่อค้ารายนี้คงยังกระหายสงครามในบ้านคนอื่นอยู่จนถึงปัจุบัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี