วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สองพรรคการเมืองใหญ่ที่ประชาชนคนไทยเสียงข้างมากเลือกสส.เข้าไปในสภาฯเพื่อต้องการให้เข้าไปบริหารประเทศ เพราะโดนกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่า “9 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่มีผลงานอะไร” มีแต่ทำให้ประเทศถอยหลังเศรษฐกิจถดถอย ถูกประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างเวียดนามแซงหน้าไป ในขณะที่ข้อกล่าวหาทางการเมืองก็พูดซ้ำๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า เป็นรัฐบาลเผด็จการที่มาจากการรัฐประหาร
ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมปีที่แล้ว จึงทำให้พรรคก้าวไกลกวาดที่นั่ง สส.เข้ามาได้มากที่สุด 151 ที่นั่ง และพรรคเพื่อไทยได้เป็นลำดับสอง 141 ที่นั่ง ซึ่งสองพรรคนี้กล่าวอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้ สส.เข้ามาเพียง 36ที่นั่งเท่านั้น
ทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ถ้าจะว่าไปแล้ว นโยบายหาเสียงที่ใช้รณรงค์ก็เหมือนกับใช้ “เงิน” เข้าล่อ เปรียบเสมือนการตกเขียวเพื่อจูงใจให้คนเลือก
พรรคก้าวไกลชูนโยบาย “การเมืองดี ปากท้องดีมีอนาคต” เช่น ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาทต่อวัน แจกคูปองรับขวัญ 3 พันบาท สำหรับแม่ของเด็กแรกเกิด, จ่ายเงินเลี้ยงดูเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดถึงหกปีจำนวน 1,200 บาทต่อเดือน และเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3 พันบาทถ้วนหน้าโดยไม่มีเงื่อนไข เป็นต้น
ส่วนพรรคเพื่อไทย ให้สัญญาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะที่สุดก็คือ “ดิจิทัล วอลเล็ต” หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล ด้วยการแจกเงิน 1 หมื่นให้แก่ประชาชนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป โดยไม่จำแนกฐานะว่าใครยากดีมีจน และอีกนโยบายหนึ่ง คือปรับเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีเป็น 25,000 บาทต่อเดือน
แม้พรรคก้าวไกลจะกวาดที่นั่ง สส.เข้ามาได้เป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะติดปัญหาเรื่องนโยบายแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งพรรคก้าวไกลแข็งขืนไม่ยอมฟังเสียงสมาชิกรัฐสภา ทั้ง สส.และ สว.ที่พร้อมจะลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีที่เป็นแคนดิเดตของพรรคก้าวไกลให้ และถ้าหากพรรคก้าวไกลยอมถอยไม่แตะเรื่องมาตรา 112 ป่านนี้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐบาลบริหารประเทศไปแล้ว ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคอันดับสองกลายเป็นตาอยู่คว้าพุงปลาไปกิน
อีกทั้งนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ก็ยังส่งผลมาจนถึงวันนี้เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง”
และผลจากการวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ยังทำให้พรรคก้าวไกลมี“มรณกรรม”รออยู่ข้างหน้าอีก เพราะเวลานี้มีผู้ไปยื่นร้องต่อ กกต.เพื่อเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกลและอีกทางหนึ่งยื่นให้ ป.ป.ช.พิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ“ความผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”เสนอต่อศาลฎีกาให้พิพากษาตัดสินนักการเมืองพรรคก้าวไกล 44 คน ทั้งที่เป็น สส.และอดีตสส. ที่ลงชื่อสนับสนุนแก้ไข มาตรา 112
กรณียุบพรรคที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัยในขั้นตอนต่อไปนั้น อาจจะใช้เวลาไม่นานนัก และเมื่อถูกศาลสั่งยุบพรรคแล้ว สส.ลูกพรรคก็สามารถไปหาพรรคใหม่อยู่ได้ หรือมีการตั้งพรรคใหม่รอไว้ก่อน เช่น พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรคก็อวตารมาเป็นพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน
แต่สำหรับคดีความผิดเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง น่าจะต้องใช้เวลาหนึ่งปีถึงสองปี หากศาลฎีกาพิพากษาว่าผิด ผู้ถูกร้องของพรรคก้าวไกล 44 คน ซึ่งมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ศิริกัญญา ตันสกุล,ปดิพัทธ์ สันติภาดา, อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และรังสิมันต์ โรม รวมอยู่ด้วยนั้น จะต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คือ ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้แทนท้องถิ่นตลอดไป และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ รวมทั้งอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลาไม่เกิน 10 ปีด้วยหรือไม่ก็ได้
ในกรณีการถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไปนั้น แม้คนทั่วไปจะมองว่าพรรคก้าวไกลอาจจะถึงกับสูญพันธ์ุก็เป็นได้นั้น แต่“ศิริกัญญา ตันสกุล” ซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้ยืนยันว่า กว่าศาลฎีกาจะพิจารณาตัดสิน พรรคก้าวไกลก็ยังมีเวลาพอที่จะเตรียมแกนนำรุ่นต่อไปขึ้นมาแทนได้ทัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับนโยบายเรื่องการใช้ “เงินเข้าล่อ”ของสองพรรคการเมืองใหญ่ที่ไปหาเสียงไว้ดังที่เกริ่นไว้ในตอนต้นนั้น เมื่อพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็สามารถอ้างเหตุผลได้ว่าเป็นฝ่ายค้านแต่พรรคเพื่อไทยลำบาก จึงทำให้ต้องดิ้นรนเรื่อง “ดิจิทัล วอลเล็ต” เพราะจนถึงวันนี้ ผ่านมาสี่ห้าเดือนแล้วก็ยังทำไม่ได้ตามที่ประกาศเป็นสัญญาประชาคมไว้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยจึงออกมาประสานเสียงว่า“ประเทศไทยมีวิกฤต”กันอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะจาก“2 นายกรัฐมนตรีตัวจริง” สายตรงของนักโทษเทวดา คือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต” ยังคงเดินหน้าต่อไป พร้อมทั้งย้ำว่าหากไม่มีโครงการนี้ออกมาเศรษฐกิจไทยจะวิกฤตถึงขั้นเป็น “กบต้ม” และอีกคนหนึ่ง คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ถึงกลับยกวิกฤตการณ์ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 ขึ้นมาเป็นข้ออ้าง
สำหรับผมเห็นว่า ถ้าดันทุรังที่จะทำให้ได้ ก็ออกเป็นพ.ร.ก.เงินกู้ไปเลย นอกจากทำได้รวดเร็วแล้ว หากมีปัญหาถึงขั้นต้องติดคุกติดตะรางจากโครงการนี้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็จะได้รับผิดชอบเต็มๆ และเมื่อผิดแล้วคิดจะหนีคดีระเห็จไปอยู่ต่างแดนก็สามารถนำกระบวนท่า“นักโทษเทวดา”มาเป็นวิชาใช้ได้-แบบว่าเมื่อหนีไปแล้ว กลับมารับโทษก็ไม่ต้องติดคุก!
รุ่งเรือง ปรีชากุล

'ปู่ฤาษีพรหมเมศ'ศักดิ์สิทธิ์ ลูกศิษย์นำฟักทอง 999 ลูกแก้บน-ไม่พลาดส่องเลขอ่างน้ำมนต์
เกลือเป็นหนอนหรือไม่? รถบรรทุกน้ำมันจ่อคิวยาวเหยียด'ด่านช่องเม็ก' หลังมีคำสั่ง'งดส่งออก'
'มทภ.2'ออกคำสั่ง คุมเข้ม'ด่านช่องเม็ก' งดส่งออกน้ำมัน-ยุทธภัณฑ์ มีผลเที่ยงคืน 14 ธ.ค.
ด่วน!!! ทบ.ห้ามส่งออกน้ำมัน-ยุทธ์ภัณฑ์ จุดผ่านแดนช่องเม็ก
ฮุนเซน รีบแก้ตัว บอกเหตุผลยังไม่ปล่อยคนไทยกลับทางด่านปอยเปต

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี