เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ทำมาหากินต่างแดนมักจะมีสถานที่หรือบริเวณที่ใช้พบปะกันขนาดใหญ่ๆ สักที่ โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานที่คุ้นเคยกับบริเวณใกล้ๆที่ที่พวกเขาทำมาหากิน และไม่อยากสิ้นเปลืองเงินทองมาก
อย่างผมเคยถูกเชิญไปสิงคโปร์มาสี่ห้าครั้ง ว่างๆ ผมก็มักจะปลีกตัวเดินไปโน่นมานี่เอง ไม่เจาะจงสถานที่ท่องเที่ยว พบว่ามีแหล่งของคนฟิลิปปินส์ที่ ลัคกี้ ดีพาร์ทเมนท์ เซ็นเตอร์ ส่วนที่พบปะของแรงงานไทยเป็น โกลเด้น ไมล์ คอมเพล็กซ์ และคนอินเดียจะมายืนคุยกันบนสนามหญ้าใหญ่ๆ ดำปึ้ดไปหมด ไม่ไกลจากย่านที่เรียกว่า ลิทเทิ่ลอินเดีย หรือในเบอร์ลิน ก็มีส่วนหนึ่งในสวนสาธารณะใหญ่ถูกเรียกว่า ไทยพาร์ค เป็นที่พบปะกันของคนไทยที่ปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนี
ทุกวันอาทิตย์ ย่านตลาดคลองเตยเหมือนเป็นหนึ่งในแหล่งพบปะสังสรรค์ของชาวพม่าในเมืองไทย ส่วนหนึ่งก็เป็นคนพม่าที่ทำงานอยู่ในตลาดคลองเตยนั่นแหละ และคิดว่าตามตลาดใหญ่ๆ ที่มีคนพม่าอยู่มากก็คงเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ในวันหยุดเช่นเดียวกัน อย่างย่านสี่แยกพระโขนง ตรงซอยปรีดีพนมยงค์ 2 นั่นก็อีกแหล่งหนึ่งที่ผมเคยเห็น
แต่ในช่วงสักปีกว่าๆ มานี้ จะมีกลุ่ม (เดาเอาว่า) นักศึกษาลี้ภัย แต่งตัวคล้ายๆกันมายืนถือกล่องรับบริจาคบนสะพายลอยข้ามถนน บางอาทิตย์ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว แต่ส่วนใหญ่จะใส่เสื้อยืดสีขาว พิมพ์โลโก้ขบวนการอะไรสักอย่าง หรือเป็นรูปหน้าของ ออง ซาน ซู จี ประกอบด้วยภาษาของเขาที่ผมอ่านไม่ออก
(*รูปนี้ผมถ่ายไว้เกือบ 2 เดือนแล้ว จะเห็นคนพม่าเดินข้ามสะพานลอยไปมากันคึกคัก และมีกลุ่มคนที่ถือกล่องรับบริจาค เป็นแบบนี้ทุกสัปดาห์)
ผมเชื่อว่า กลุ่มคนหนุ่มสาวพม่าแบบเดียวกันนี้ ยังจะพบได้ในวันหยุดตามแหล่งใหญ่ที่เป็นที่พบปะของชาวพม่าในเมืองไทย ไม่รู้ว่าฝ่ายความมั่นคงได้พิจารณาความเคลื่อนไหวทำนองนี้หรือเปล่า แม้จะดูเป็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่ผมดูแล้วไม่ค่อยสบายใจ
ทุกประเทศที่โอบอุ้ม รับดูแลผู้ลี้ภัยด้วยมนุษยธรรม (หรือจำยอม) ไม่ว่าจะลี้ภัยจากสงครามกลางเมือง หรืออุบัติภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการรับชั่วคราวและส่งกลับเมื่อเหตุการณ์ในประเทศของพวกเขาสงบลง หรือรับไว้เพื่อส่งต่อให้ประเทศที่สาม จะต้องมีกฎเกณฑ์สำหรับผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะพวกที่ลี้ภัยการเมือง มักมีข้อห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันยาวเหยียดอย่างไทยกับพม่า ยิ่งมีความอ่อนไหวมากขึ้นหลายเท่า
คนไทยบางพวกอาจจะคลุ้มคลั่งกับลัทธิประชาธิปไตยจนคิดว่า รัฐบาลไทยเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย และสมาชิกสภาผู้แทนฯไทยมาจากการเลือกตั้ง ต้องให้การสนับสนุนกลุ่มหนุ่มสาวพม่าที่เรียกร้องประชาธิปไตยเหล่านี้ โดยแกล้งลืม (หรือตื้นความรู้) ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐประการสำคัญคือ เราต้องไม่ไปสาระแนกับความขัดแย้งภายในของเพื่อนบ้าน ถ้าเขาไม่ร้องขอ หรือยังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นอันตรายต่อบ้านเรา
ในโลกนี้ มีประเทศประชาธิปไตยที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการอยู่มากมาย มิติของความเป็นรัฐชาติไม่ใช่แค่มีระบอบการปกครอง ยังมีผู้คน, ความดำรงอยู่ของภูมิศาสตร์, ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, การเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรม ฯลฯ
ถ้ารัฐบาลประเทศหนึ่งเห็นดีเห็นงามตามพวกคลั่งลัทธิ ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอีกประเทศ เพียงเพราะว่าระบอบปกครองไม่เหมือนกัน นั่นก็ต้องเป็นรัฐบาลที่โง่ระดับมหิงสาเรียกบราเธอร์
ดังนั้น นอกจากไม่ควรสนับสนุนการเรียกร้องของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพม่าที่มาเคลื่อนไหวในเมืองไทย หน่วยงานของรัฐควรควบคุมและจับตาขบวนการผู้ลี้ภัยพม่าอย่างใกล้ชิด รวมถึงพวกพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการบางพวกในเมืองไทย ที่กำลังจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไปถึงระดับเรือหาย
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี