มีเสียงเรียกร้องให้พรรคก้าวไกลแสดงบทบาทฝ่ายค้านให้สมศักดิ์ศรี-สมฐานะของพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด–สมกับโอ้อวดไว้ตลอดมาว่าพรรคของตนคือคนรุ่นใหม่ หัวก้าวหน้า มีความรู้ความสามารถ และจะทำงานการเมืองแบบใหม่

ในช่วง 2 เดือนนี้ พรรคก้าวไกลจึงออกมาวิจารณ์พรรคเพื่อไทยบ้าง การอภิปรายในสภาล่าสุดนี้ก็ดูจริงจัง จนหลายคนเชื่อว่าถึงเวลาเป็นพรรคฝ่ายของจริงเสียที

แต่ผมกลับไม่เชื่อ!

ขอย้อนอดีตไปหน่อย ตอนที่คุณทักษิณเข้ามาเมืองไทยอย่างเท่ๆ ก็ไม่ได้เห็นพรรคก้าวไกลแสดงความคิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ถึงตอนที่บุ้งตายก็มีระดับหางแถวออกมาพูดเรื่องความเท่าเทียมบ้าง เปรียบเทียบความยุติธรรมของคุณทักษิณกับบุ้งและคนอื่นๆ ที่ติดคุก แล้วก็เงียบหายไป

กระทั่งคุณทักษิณทำตัวเป็นอภิสิทธิชน เสนอหน้าไปเจรจาความเมืองกับชนกลุ่มน้อยในพม่า พรรคก้าวไกลก็ไม่แสดงความคิดเห็นอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเช่นเคย

คุณทักษิณไปหาเสียงที่เสี่ยงผิดกฎหมายและเอาเปรียบพรรคก้าวไกล ก็ยังไม่มีแกนนำพรรควิพากษ์วิจารณ์ให้ชัดเจน

การหาเสียงระดับท้องถิ่น แม้มีคนของพรรคก้าวไกลพูดบ้างก็ไม่มีความหมายอะไร

นโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทยก็ไม่แสดงความเห็นจริงจัง การประชุมสภาฯ วันที่ 11 ก.ค.2567 นี้ พรรคก้าวไกลบอกแกมท้าให้คุณเศรษฐาในฐานะนายกรัฐมนตรีเข้าตอบกระทู้ของพรรคตนด้วยตนเอง แต่ผมก็เห็นว่าพรรคก้าวไกลทำแค่ขึงขัง แต่ไม่จริงจังอย่างเคย

ทั้งหมดบอกได้ว่าพรรคก้าวไกลไม่กล้าแตกหักกับพรรคเพื่อไทย

เพราะหากแตกหักจริง พรรคก้าวไกลจะเป็นรองพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนสมัยหน้า

พรรคเพื่อไทยนั้นจับมือกับพรรคไหนเป็นรัฐบาลก็ได้ แต่พรรคก้าวไกลจับมือกับพรรคไหนไม่ได้เลย มีเพียงพรรคเพื่อไทยกับพรรคเล็กๆ เท่านั้นนอกจากพรรคก้าวไกลจะยุตินโยบายแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 รวมทั้งแก้หรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วย จึงจะมีพรรคอื่นร่วมเป็นรัฐบาลด้วย

แต่ถ้าพรรคก้าวไกลยังยืนยันจะใช้นโยบายเดิมต่อไป เพื่อผูกใจฐานเสียงที่เลือกพรรคตนด้วยนโยบายนี้ ก็ต้องเอาใจพรรคเพื่อไทยไว้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้ผล เพราะคุณทักษิณไม่มีสัจจะ ไม่มีอุดมการณ์อะไร นอกจากอำนาจและผลประโยชน์ของตน

นโยบายแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 รวมทั้งแก้หรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น จึงเป็นเชือกที่ควั่นคอพรรคก้าวไกลเอง และคนที่จูงก็คือคุณทักษิณ

บรรดาด้อมส้ม สื่อ นักวิชาการ ล้วนแสดงความเห็นว่าเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลจะแลนด์สไลด์ บางคนพูดอย่างมั่นใจว่าจะไม่ต่ำกว่า 200 เสียงแน่นอน แต่กระนั้นก็ยังไม่พอจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอยู่ดี ต้อง 250 คนขึ้น และต้องขึ้นไปสูงกว่านั้นเพื่อความมั่นคงของรัฐบาล ถ้าได้ 300 เสียงก็จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

เมื่อมองผลโพลล์ครั้งล่าสุด พรรคก้าวไกลมีคะแนนนำพรรคเพื่อไทยมากกว่า 2 เท่า!

เฉพาะตัวคุณพิธาได้เสียงสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 45.50 เปอร์เซ็นต์

แต่จะเป็นไปได้แค่ไหนอย่างไร ใครก็ไม่อาจคาดการณ์ได้แม่นยำ เพราะยังเหลือเวลาอีก 3 ปี อะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งถ้าศาลตัดสินยุบพรรคก้าวไกล ก็จะบั่นทอนกำลังของพรรคให้อ่อนยวบ คุณพิธาเองซึ่งเป็น “ตัวขาย” ของพรรคนั้นหมดสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว จากคดีแฟลชม็อบ ยกเว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์ทางกฎหมายเท่านั้น กรรมการพรรคที่มีชื่อเสียงหลายคนก็จะโดนตัดสิทธิ์ด้วย แม้จะมีแถวที่ 3 ขึ้นมาแทน แต่ถ้าไม่มีคนใหม่ที่มีชื่อเสียงมีความสามารถปรากฏแก่สาธารณชน พรรคก้าวไกลจะไปให้ถึงปลายทางนั้นทุรกันดารมาก

พรรคก้าวไกลจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก(ถ้าโดนยุบพรรค) เพราะเห็นแล้วว่าเรื่องคะแนนเสียงระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติก็หาความแน่นอนไม่ได้ ขนาดการเลือกตั้ง สว. ที่ครั้งล่าสุดนี้ที่วางแผนไว้อย่างดีก็พังทลายอย่างไม่น่าเชื่อ

ยังไม่นับว่าเมื่อโดนยุบพรรคแล้ว สส. ในพรรคจะละลายหายไปมากน้อยแค่ไหน จึงต้องกินน้ำใต้ศอกของพรรคเพื่อไทยไปก่อน

ส่วนการหาเสียงของพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยที่แข่งกัน มีการคุยทับ คุยข่ม คุยโว โชว์เหนือ ก็เป็นธรรมดาของการหาเสียง เพราะต่างก็อยากได้คะแนนเสียงมากที่สุด เพื่อจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่การแตกหักกัน เลือกตั้งจบก็จับมือกันได้

ผมจึงมองว่า พรรคก้าวไกลแม้ไม่ได้เป็นมิตรกับพรรคเพื่อไทย แต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกัน พวกเขาเป็นแนวร่วมกัน “แยกกันเดิน ร่วมกันตี” เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน

วิมล ไทรนิ่มนวล