“วัฒนธรรมและจริยธรรม” อาจเกิดก่อนหรือพร้อมกัน หรือภายหลัง “การปกครอง” ก็ย่อมได้ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข มันมีมาแต่ยุคชนเผ่า แต่การปกครองด้วยอำนาจและกฎกติกาอย่างเดียวไม่มีประสิทธิภาพมากพอ เพราะเป็นการใช้อำนาจบังคับและลงโทษผู้กระทำผิดต่อกฎกติกา ไม่ใช่การแก้ปัญหา จึงต้องมีอุบายอื่นเข้าช่วย เช่น มีหมอผี ซึ่งหลายเผ่าหัวหน้าเผ่าก็เป็นหมอผีเอง ผีบรรพชน เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่จะทำให้คนเกรงกลัวหรือเคารพ เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น
เมื่อชนเผ่าเติบโตขยายทั้งจำนวนประชากรและพื้นที่ก็กลายเป็น “เมือง” เริ่มมีการเลือกหัวหน้าเผ่า บ้างก็สืบต่อสายเลือดจากหัวหน้าเผ่าคนก่อน หัวหน้าเผ่านี้แหละต่อมาเรียกว่า “พ่อเมือง”“เจ้าเมือง” และ “กษัตริย์” (เขตต์ - เกษตร) แปลว่า “ผู้ว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” เพราะสังคมพัฒนาจากยุคล่าสัตว์ เก็บของป่าเข้าสู่ยุคการเกษตร พร้อมกันนั้นก็มี “การสร้างแบบแผนปฏิบัติและพิธีกรรมต่างๆ”เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์มากขึ้น อันเกี่ยวกับการทำมาหากินและความเชื่อต่างๆ ทั้งที่สืบทอดมาจากยุคชนเผ่าและสร้างขึ้นใหม่ เรียกว่า “วัฒนธรรม” ประกอบด้วย “พิธีกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ” ซึ่งมีทั้งของกษัตริย์และพลเมือง แต่ก็ผสานเป็นเนื้อเดียวกัน
“วัฒนธรรม” หรือ “ขนบธรรมเนียมประเพณี”ก่อเกิดและสร้างสรรค์ขึ้นจากวิถีชีวิตในชุมชน ส่งต่อและแลกเปลี่ยนกันระหว่างชุมชนและเมืองใกล้เคียง
เมื่อศาสนาเกิดขึ้น มีการเผยแผ่ศาสนาไปยังดินแดนต่างๆ เมืองที่ยอมรับเอาศาสนาเป็นเครื่องมือสำหรับอบรมสั่งสอนพลเมือง ทั้งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผู้คนในสังคมไว้ด้วยกัน จึงมี “ตัวช่วย” เพิ่มขึ้นอีกคือ “ขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา”
เมื่อมีศาสนาเข้าผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิม มันจึงเติบโตลงรากปักฐานแน่นหนาในสังคม กลายเป็น “ระบบจริยธรรมใหม่” ที่แข็งแรง ทั้งที่เป็นคำสอนโดยตรงและโดยผ่านขนบธรรมเนียมประเพณี ต่อมาศาสนาก็กลายเป็นแกนหลักทางวัฒนธรรมและจริยธรรมของสังคม ฝังอยู่ในจิตสำนึกและใต้สำนึกของผู้คนและสังคมอย่างยากที่ใครจะเปลี่ยนแปลงได้ตามใจตน
เพราะมันได้พิสูจน์แล้วว่ามันสร้างความสามัคคีและป้องกันปัญหาต่างๆ ในสังคมได้ เป็นการลดภาระของกฎหมาย
ดังจะเห็นได้จากหลายประเทศที่ปฏิวัติเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบเดิม (ราชาธิปไตย เผด็จการ ประชาธิปไตย) เป็น“รัฐสังคมนิยม” นั้น สามารถเอาชนะผู้ปกครองเดิมนั้นได้ แต่เอาชนะวัฒนธรรมและจริยธรรมไม่ได้!
ยกตัวอย่างจีน เมื่อปฏิวัติสำเร็จแล้ว พวกผู้นำสามารถบังคับกดขี่ผู้คนของตนได้ ให้ทำงานหนักได้ โยกย้ายอพยพได้ แต่ไม่สามารถบังคับให้พวกเขาเลิกยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีได้ อย่างคำสอนของขงจื๊อและพระพุทธศาสนา ประเพณีของต่างๆ ประจำถิ่นของตน รวมทั้งพิธีไหว้เจ้า-ไหว้บรรพชนด้วย จนพวกปฏิวัติเห็นว่ามันขัดขวาง “การสร้างวัฒนธรรมสังคมนิยม” และการปกครอง
นั่นคือ พวกเขาเห็นความสำคัญของวัฒนธรรมและจริยธรรม (ทั้งจากศาสนาและลัทธิขงจื๊อ) จึงต้อง “สร้างวัฒนธรรมและจริยธรรมของลัทธิสังคมนิยม” ขึ้น เมื่อสร้างไม่ได้ เพราะสำนึกของพลเมืองยังผูกพันอย่างลึกซึ้งกับวัฒนธรรมเดิม สุดท้ายก็ต้องปฏิวัติอีกครั้ง คือ “ปฏิวัติวัฒนธรรมและจริยธรรม”
คือการทำลายล้างวัฒนธรรมและจริยธรรมเดิม เพื่อสร้างวัฒนธรรมสังคมนิยม
จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (Cultural Revolution) ในช่วง ค.ศ. 1966 - 1976ดำเนินการโดย เหมา เจ๋อตุง ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เริ่มต้นด้วยการตั้ง “กองกำลังยุวชนแดง” จำนวนมาก เมื่อสั่งสอนและปลุกระดมกันจนบ้าคลั่งแล้วก็ใส่รถไฟมาที่ปักกิ่ง การปฏิวัติมุ่งหมายทำลาย “สิ่งเก่าทั้ง 4” ได้แก่ ขนบธรรมเนียมเก่า วัฒนธรรมเก่า อุปนิสัยเก่าและความคิดเก่า และสร้าง“สิ่งใหม่ทั้ง 4” ของพวกเขาขึ้นทดแทน ด้วยการทำร้ายทำลายตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อคนจนถึงการตัดผมการประณาม ประจาน การจองจำ การบุกค้นบ้านทุบตีเข่นฆ่าแม้กระทั่งเพื่อน ญาติ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ที่พวกเขาสงสัยว่ามีนิสัย 4 เก่า ทำลายทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ทำลายวัด ศาลเจ้า
แต่ไม่มีใครสามารถทำลายวัฒนธรรมและจริยธรรมที่ฝังอยู่ในใจคนได้
การปฏิวัติยุติไปนานแล้ว แต่จีนก็ไม่พัฒนา ซ้ำล้าหลังประเทศทุนนิยมมากขึ้นทุกที เพราะลัทธิสังคมนิยมเป็นตัวขัดขวางและทำลายทุกด้าน ทั้งแรงงานและการสร้างสรรค์ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จึงเป็นการทำลายแม้กระทั่งตัวระบบเอง
เติ้ง เสี่ยวผิง จึงนำจีนเข้าสู่ยุคใหม่ ใช้ลัทธิทุนนิยม(ตลาดเสรี) เข้าพัฒนาประเทศจีน เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงศักยภาพทุกด้านที่เป็นประโยชน์แก่สังคม และแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เก็บซ่อนไว้ในใจตน เช่น การนับถือศาสนา มีผู้คนนับถือพระพุทธศาสนานับล้านคน ลัทธิขงจื๊อได้รับการฟื้นฟูเป็นสถาบัน
ดังนั้นใครก็ตาม ที่ประกาศล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ล้มล้างวัฒนธรรม ล้มล้างระบบจริยธรรม ล้มล้างความกตัญญูกตเวทิตา ต้องการทำลายสิ่งดั้งเดิมที่มีคุณค่า แม้พวกเขาจะปฏิเสธว่าไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ก็จงรับรู้ไว้ว่า พวกเขามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พวกกเฬวราก” ที่ต้องการทำลายชาติให้ย่อยยับ (ทำลายสิ่งเก่าทั้ง 4 เช่นเดียวกับจีน) เพื่อจะได้สร้างวัฒนธรรมกเฬวรากของพวกเขาขึ้นแทน
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี