(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
น้ำที่ไม่ทรงอนุญาตหรือเครื่องดื่มที่ไม่พึงดื่ม ได้แก่ 1.น้ำธัญชาติ (ข้าว) 7 ชนิด - ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมาน ข้าวฟ่างลูกเดือย และหญ้ากับแก้ 2.น้ำมหาผล (ไม้ใหญ่) 9 ชนิด - ผลตาล มะพร้าว ขนุน สาเก น้ำเต้า ฟักเขียว แตงไท แตงโม และฝักทอง 3.น้ำอปรัณณชาติ(ถั่วชนิดต่างๆ) - ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ และงา 4.นม 5.ชา กาแฟโอวันติน ไมโล โอเลี้ยง น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง
พวกนำน้ำปานะสมัยใหม่ เช่น ชาเขียว น้ำเฉาก๊วย โค้ก เป๊ปซี่ เป็นต้น ในน้ำเหล่านั้นมีน้ำตาลเชิงเดียวผสมอยู่ 9-15% แล้วแต่ชนิด สมมุติชาเขียวมีน้ำตาลอยู่ 9% หมายความว่าน้ำชาเขียว 100 ซีซี มีน้ำตาลเชิงเดียวอยู่9 กรัม โดย 1 ขวด 500 ซีซี จึงมีน้ำตาล 45 กรัม ถามว่า มากเกินไปหรือไม่ คำตอบคือไม่เกิน คือพอดี (ไม่เกิน 50 กรัมต่อวันหรือเท่ากับน้ำตาลทราย 6 ชช.)แต่ปัญหาคือ ถ้าดื่มชาเขียวตอนเช้า 1 ขวดแล้ว วันนี้ดื่มหรือกินน้ำตาลอีกไม่ได้เลย เพราะจะมากเกินไปเป็นโทษต่อร่างกาย ถ้าจะดื่มให้ถูกต้องต้องเฉลี่ยเป็น 5 ส่วน เช้า 1 ส่วน สาย 1 ส่วน บ่าย 1 ส่วน เย็น 1 ส่วน กลางคืน1 ส่วน จึงไม่เป็นอันตราย แต่ทุกท่านดื่มครั้งละ 1 ขวดหมด 1 วัน อาจจะดื่ม2-3 ขวด ก็หมายความว่าได้น้ำตาลเกินไป 2-3 เท่าตัว ทำให้อ้วน ทำให้ไขมันในเลือดสูง ทำให้ความดันโลหิตสูง และทำให้เป็นเบาหวานเร็วกว่าที่ควร
พระภิกษุสงฆ์ ดื่มน้ำปานะหลังเที่ยง กระหายหรือรู้สึกโหย ก็ดื่มน้ำปานะ จึงเปรียบเสมือนท่านดื่มเครื่องดื่มน้ำตาล สุขภาพของพระภิกษุสงฆ์เสื่อมโทรมได้รวดเร็ว
ท่านที่นำน้ำปานะที่ไม่ถูกต้องทั้งทางพุทธและทางแพทย์ท่าน ทำบุญหรือ ทำบาป กันแน่
ผู้เขียนมีแนวคิดให้พวกเราถวายน้ำปานะที่ถูกต้องและไม่เป็นอันตรายโดยใช้น้ำผลไม้ที่ไม่มีกากใบ เติมด้วยน้ำตาลเทียมซึ่งมีความหวานมากแต่ให้พลังงานต่ำกว่าน้ำตาลเชิงเดียว แต่ควรเลือกใช้น้ำผลไม้เท่านั้นและเป็นผลไม้ที่ไม่หวาน เช่น น้ำฝรั่ง น้ำเง่าบัวน้ำแอปเปิ้ล น้ำลูกจันทน์ น้ำมะม่วง น้ำองุ่นน้ำกล้วย น้ำเก๊กฮวย น้ำลูกหว้า น้ำเฉาก๊วย น้ำผัก น้ำพุดทรา น้ำมะตูมน้ำรางหญ้า น้ำขิง เป็นต้น และเพื่อให้มีรสชาติหวานให้เติมน้ำตาลเทียมหรือสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล
น้ำตาลเทียม
1.แซคคาริน เป็นสารสังเคราะห์ Ira Remsur เป็นผู้พบในปี ค.ศ.1878 มีความหวาน 300 เท่าของน้ำตาลซูโครส แต่พบผลข้างเคียง อาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ ถ้ารับประทานในปริมาณมากๆ และนานๆ
2.ไซคลาเนท Michael Sueda เป็นผู้สังเคราะห์ในปี ค.ศ.1937 ให้ความหวาน 30 เท่า ของน้ำตาลซูโครส ปัจจุบันพบว่ามีอันตรายมากต่อผู้บริโภค
3.แอสพาเทม พบโดยบังเอิญจากการสังเคราะห์วิจัยยารักษาโรคกระเพาะ โดย James Schlatter ปี ค.ศ. 1965 ให้ความหวาน 180 เท่าของน้ำตาลซูโครส แต่ให้พลังงานต่ำกว่าน้ำตาลซูโครสถึง 95% นำมาใช้ในอุตรากรรมอาหารมาก เช่น อีควลอ สลิมเมอร์ และอื่นอีกหลายชนิด แอสพาเทมนำมาใช้มากที่สุดแต่มีรายงานผลข้างเคียงมากขึ้นเรื่อยๆ คือ 1. ตา - ตามัว หรือเห็นแสงเหมือนไฟแลบ สายตาเห็นเหมือนมองผ่านกระบอก ตามองไม่เห็นในความมืด ตาแห้ง เป็นต้น 2.หู - หูอื้อ หรือมีเสียงคล้ายกริ่งดังในหู หูหนวก 3.ระบบประสาท - ลมบ้าหมู ปวดหัว ไมเกรน เวียนหัวมึนงง ความจำสับสน ง่วงนอน ชาตามขา พูดไม่ชัด เป็นต้น 4.โรคจิต - ซึม หงุดหงิด ก้าวร้าวบุคลิกเปลี่ยน ง่วงนอน เป็นต้น 5.ปวดหัวใจ - ใจสั่น palpitation หายใจไม่ทั่วท้อง ความดันสูง 6.ทางเดินอาหาร -คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้อง 7.ผิวหนัง -ผื่นคัน แพ้ ค้น ผื่นแดง หอบหืด 8.ต่อมไร้ท่อ-ควบคุมเบาหวานยาก ประจำเดือนเปลี่ยน ผมร่วง น้ำหนักลดหรือเพิ่มได้ และที่สำคัญที่สุด ในคนที่มีกรรมพันธุ์ที่ร่างกายไม่สามารถทำลายเฟนนิลามีนได้ จะทำให้เกิดการคั่งของกรดเฟนนิลไพรูลิกในเลือด เรียกว่าโรคเฟนนิลคีโตนยูเรีย เกิดอันตรายกับสมองได้
4.ไซลิทอล ค้นพบในปี ค.ศ.1960 เป็นน้ำตาลชนิดโพลีแอลกอฮอล์ใช้มากในหมากฝรั่ง ยาสีฟัน และใช้มากในกลุ่มคนเป็นเบาหวาน เป็นน้ำตาลที่พบในธรรมชาติ เช่น ผลเบอร์รี่ เห็ด ผักกาดแก้ว ข้าวโพด เนื่องจากร่างกายดูดซึมได้ช้าๆ จึงไม่เกิดอันตรายเหมือนน้ำตาลเชิงเดียวและนอกจากนี้ยังไม่ทำให้เกิดฟันผุ
5.Splenda เป็นน้ำตาลเทียมที่สังเคราะห์จากน้ำตาลธรรมชาติ คือน้ำตาลซูคราโรส น้ำตาลตัวนี้ได้รับการรับรองจากรัฐบาลอเมริกาในปี ค.ศ.1998ซูคราโรส ให้พลังงานต่ำมาก ในซอง splenda 1 ซอง มีซูคลาโรสอยู่ 1 กรัม จะให้พลังงานเพียง 31% ของซองน้ำตาลทราย 2.8 กรัม หรือประมาณ 3.36 แคลอรี่ ส่วนน้ำตาลทราย 2.8 กรัม ให้ 10.8 แคลอรี ซูคราโรส ให้ความหวาน 600 เท่าของน้ำตาลทรายเชิงเดียว หวานกว่า แอสพาเตม 3 เท่า และหวานกว่าแซคารีน 2 เท่า ใน splenda ยังมีน้ำตาลเชิงซ้อนคือเดรชโตรส และมัลโตเดรชตริน ผสมอยู่ด้วย แต่ทั้งคู่ก็ให้พลังงาน 3.75 แคลอรีเท่านั้น
จากงานวิจัยในปี ค.ศ.2003 ถ้าบริโภคน้ำตาลตัวนี้จะไม่เกิดผลข้างเคียง ถ้ารับประทานไม่เกิน 15 มก./นน.ตัว 1 กก./วัน หรือประมาณ 1 กรัมของคนหนัก 70 กก. โดยผู้อำนวยการใหญ่ CSPI คือ Michael F. Jacobson กล่าวว่า ซูคลาโรส อาจเป็นน้ำตาลเทียมที่ปลอดภัยที่สุด แต่เนื่องจากน้ำตาลซูคลาโรสจะถูกขับออกทางเหงื่อ จึงอาจทำให้เกิดแพ้ผื่นคันที่ผิวหนังได้
6.สตีเวียและซอบิทอล หรือหญ้าหวาน เป็นน้ำตาลชนิดโพลีแอลกอฮอล์เชิงซ้อน พวกเดียวกับ ไซลิทอล มาลิทอล และแมนนิทอล กลุ่มนี้จะให้พลังงาน 40-50% ของน้ำตาลทรายเชิงเดียว แต่ให้ความหวาน 200-300 เท่า กลุ่มน้ำตาลโพลีแอลกอฮอล์จะไม่ค่อยมีผลข้างเคียง หรือผลร้ายต่อร่างกาย แต่ส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์เหมือนยาระบาย ท้องเสียได้ หรือบางรายท้องเฟ้อได้
ขณะที่หญ้าหวานเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งใช้มานานกว่า 400 ปีแล้วที่สำคัญน้ำตาลกลุ่มนี้ไม่กระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเบาหวานไปในตัวด้วย
ถ้าท่านอยากทำบุญถวายน้ำปานะให้พระภิกษุสงฆ์ และไม่ทำบาปโดยไม่รู้ตัว ควรจะถวายน้ำผลไม้ที่ไม่หวานเท่านั้น
เติมน้ำตาลเทียมชนิดที่ได้จากธรรมชาติ เช่น splenda หรือสตีเวีย (หญ้าหวาน) ซอบิทอล ไซลิทอล และแมนนิทอล และสุดท้ายมีน้ำตาลของไทยที่มีแคลอรีต่ำ ของบริษัท มิตรผล ซึ่งมีส่วนประกอบคล้ายกับ splenda
ทำบุญกันเถอะ อย่าทำบาปกันเลย
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภากาชาดไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี