กลุ่มงูเขี้ยวพิษหลัง (Opisthoglyphs) เขี้ยวพิษขนาดเล็กอยู่ลึกเข้าทางส่วนท้ายของขากรรไกรบนตรงตำแหน่งนัยน์ตาเขี้ยวพิษมีร่องตามยาวอยู่ด้านหน้าสำหรับให้น้ำพิษไหลผ่านหรือเป็นเขี้ยวตันไม่มีร่อง งูในกลุ่มนี้มีจำนวนหลากหลายชนิดมากที่สุด ชนิดงูพิษอ่อนอันตราย งูพิษอ่อนไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ถูกกัด รวมถึงงูไม่มีพิษ งูในกลุ่มนี้มี งูลายสาบคอแดง (Rhabdophis subminiatus) มีขนาด 80-130 เซนติเมตร เป็นงูเขี้ยวพิษหลังอันตรายมีอาการทางระบบโลหิตงูปี่แก้วลายแต้ม (Oligodon fasciolatus) มีขนาด 70-80เซนติเมตร งูปล้องท้อง (Boiga dendrophila) มีขนาด 170-250 เซนติเมตร งูเขียวพระอินทร์ (Chrysopelea ornate) มีขนาด 130 เซนติเมตร งูเขียวบอน (Boiga cyanea) มีขนาด 150-180 เซนติเมตร งูเขียวปากจิ้งจก (Aheutella prasina) มีขนาด 120-197 เซนติเมตร
กลุ่มงูไม่มีพิษ (Aglyphs) เป็นกลุ่มงูไม่มีต่อมพิษและเขี้ยวพิษ แต่งูบางชนิดในกลุ่มนี้จัดว่าเป็นงูอันตราย เนื่องจากมีฟันที่แหลมคมมากเมื่อขบกัด และบางชนิดมีกล้ามเนื้อลำตัวที่แข็งแรงเมื่อรัดเหยื่อ งูในกลุ่มนี้ประกอบด้วยงูเหลือม (Broghammerus reticulatus) มีขนาด 7-10 เมตรงูหลาม (Python bivittatus) มีขนาด 6-7 เมตร งูสิงหางลาย(Ptyas mucosa) มีขนาด 120-320 เซนติเมตร งูทางมะพร้าว (Coelognathus radiatus) มีขนาด 180-230 เซนติเมตร งูหลามปากเป็ด (Python brongersmai) มีขนาด 250-300 เซนติเมตร งูปล้องฉนวนลาวเหลือง(Lycodon laoensis) มีขนาด 47 เซนติเมตร งูลายสอ (Xenochrophis flavipunctatus) มีขนาด 60-120 เซนติเมตร งูปล้องฉนวนสร้อยเหลือง (Lycodon capucinus)มีขนาด 70-80 เซนติเมตร งูงวงช้าง (Acrochordusjavanicus) มีขนาด 250 เซนติเมตร งูกระด้าง (Erpetontentaculatum) มีขนาด 70-90 เซนติเมตร งูก้นขบ(Cylindrophis ruffus) มีขนาด 100 เซนติเมตร งูแสงอาทิตย์ (Xenopeltis unicolor) มีขนาด 120 เซนติเมตร
ในกรณีที่ถูกงูกัด มีข้อควรพึงระลึกไว้ว่า ถึงแม้ว่างูไม่มีพิษมีหลากหลายชนิดกว่างูมีพิษ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ลำบาก ขอให้พิจารณาว่างูทุกชนิดมีอันตรายไว้ก่อน ให้รีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในทุกรายที่ถูกงูกัด ส่วนในกรณีที่ถูกงูพิษกัดแน่นอน โดยมีรอยเขี้ยวให้เห็นอย่างชัดเจน ในความโชคร้าย ผู้ที่ถูกกัดอาจจะโชคดีถ้างูพิษกัดโดยไม่ได้ปล่อยน้ำพิษออกมาอย่างไรก็ดี ควรทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเช่นกัน
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด คือ
1) ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือทันทีใช้ผ้าพันแผลหรือผ้าพันเคล็ดชนิดยืดหยุ่นได้ เริ่มพันจากรอยแผลถูกกัดแล้วพันต่อไปจนถึงข้อต่อ หรือสูงเหนือบาดแผลให้มากที่สุด
2) หาไม้กระดานหรือวัสดุที่มีความแข็งมาดามแล้วพันด้วยผ้าพันแผลทับอีกครั้ง เพื่อให้อวัยวะส่วนที่ถูกกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เป็นการชะลอการดูดซึมพิษงูเข้าสู่กระแสเลือด
3) นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้โดยเร็วที่สุด หากสามารถถ่ายรูปหรือนำซากงูที่ตายแล้วมาด้วย แพทย์จะได้ทราบว่าเป็นงูชนิดใด โดยผู้ป่วยจะได้รับเซรุ่มแก้พิษทันทีในกรณีที่ทราบชนิดงู
และถ้ามีปัญหา ปรึกษาหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย โทร. 0-2252-0161-4 ต่อ 142 # 32, 33 โทรสาร 0-2254-0212, email: info@saovabha.com, website: www.redcross.or.th
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี