ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของระบบการสืบพันธุ์ หรือจะพูดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบ urogenital หรือระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะเพศ เป็นอวัยวะที่ผู้ชายมี แต่ผู้หญิงไม่มี ต่อมลูกหมากมีขนาดเพียงวอลนัท (walnut) แต่ทำให้มีปัญหาด้านสุขภาพแก่ผู้ชายมาก เพราะมันตั้งอยู่ในที่ๆ มีอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ
ต่อมลูกหมากอยู่ข้างหน้าของ rectum หรือลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง และอยู่ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะจะรับปัสสาวะมาจาก2 ท่อไต (ureter) มาเก็บไว้ จนกว่าจะมากพอ จึงเกิดอาการปวดปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะ น้ำปัสสาวะจะไหลผ่านท่อปัสสาวะ (urethra) ที่ส่วนบนมีต่อมลูกหมากอยู่รอบๆ ออกสู่อวัยวะเพศ
เนื่องจากต่อมลูกหมากอยู่รอบ urethra เมื่อต่อมโตขึ้น มันก็จะกด urethra ทำให้มีอาการทางปัสสาวะ ช่วงแรกเกิด ขนาดของต่อมลูกหมากจะมีน้ำหนักไม่ถึงครึ่ง ounce (1 ounce คือ 28.3415 กรัม) ช่วงวัยรุ่น ต่อมลูกหมากจะโตมากขึ้น และจะโตขึ้นอีกในช่วงอายุ 40-50 ปี โรคของต่อมลูกหมาก คือ ต่อมลูกหมากโต หรือ Benign Prostatic Hyperplasia (BPH) ต่อมลูกหมากอักเสบ และมะเร็ง
หน้าที่ของต่อมลูกหมาก คือ ผลิตน้ำที่เป็นส่วนประกอบของ semen (น้ำอสุจิ) ใน semen จะมี sperm (อสุจิ) น้ำที่ผลิตจากต่อมลูกหมาก ที่เป็นด่างเพื่อที่จะช่วยลดกรดในช่องคลอด (vagina) เพื่อให้ sperm อยู่ได้ และน้ำที่ผลิตจาก seminal vesicles ที่มีโปรตีน กรดไขมัน fructose เพื่อเป็นอาหารให้กับอสุจิ (sperm) sperm เป็นส่วนประกอบของ semen เพียง 2-5% น้ำจากseminal vesicles เป็นส่วนประกอบ 60% และต่อมลูกหมากผลิตน้ำที่เป็นส่วนประกอบประมาณ 30% ปริมาณ semen ในแต่ละครั้งจะมีประมาณ 2-5 ซีซี และมี sperm ประมาณ 200-300 ล้านตัว
การทำงานของต่อมลูกหมากขึ้นอยู่กับ hormones ต่างๆ เช่น testosterone (ผลิตโดย testicles ลูกอัณฑะ) และจาก hormones อื่นๆ ที่มาจาก pituitary gland (ในสมอง) และจากต่อม adrenals (อยู่เหนือไต)
ต่อมลูกหมากแบ่งออกเป็นข้างขวาและข้างซ้าย ส่วนที่กว้างอยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะ ส่วนแหลมอยู่ข้างใต้ พูดง่ายๆ คล้ายๆ หัวธนูที่ชี้ลง และยังแบ่งออกเป็นส่วนหน้า (anterior) ส่วนหลัง posteriorและส่วนระหว่าง base กับ apex คือ mid gland
Benign prostatic hyperplasic (BPH) ปกติผู้ชายอายุ 20-30 ปี จะมีต่อมลูกหมากที่หนัก 20 กรัม แต่หลังอายุ 50 ปีจะเริ่มโตขึ้น อาจมีน้ำหนัก 50-100 กรัม เมื่ออายุ 80 ปี (เคยมีถึง 500 กรัม) BPH ไม่ใช่มะเร็ง และไม่กลายเป็นมะเร็ง แต่ก็อาจมีมะเร็งอยู่ร่วมด้วยกับ BPH ผู้ชายทุกคนถ้ามีอายุยืนจะมี BPH ไม่มากก็น้อย
50-60% ของผู้ชายที่มี BPH จะไม่มีอาการ แต่หลายคนมีปัญหามาก คือ มีอาการของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง คือ LUTS Lower Urinary Tract Symptoms นิ่วในกระเพาะปัสสาวะและเลือดออก
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด BPH คือ อายุ อ้วนลงพุง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง การอักเสบของต่อมลูกหมาก การไม่ออกกำลังกายและอาหาร อาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยง คือ เนื้อแปรรูป เนื้อแดงrefined grain (ธัญพืชที่ผ่านการสีแล้ว เช่น ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง ขนมปัง ฯลฯ) น้ำตาล ฯลฯ
เมื่อต่อมลูกหมากโตจะกด urethra และกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไหลยากขึ้น ทำให้กระเพาะปัสสาวะต้องบีบตัวแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะใหญ่ หนาขึ้น จึงลดปริมาณน้ำปัสสาวะที่กระเพาะปัสสาวะจะเก็บไว้ได้ จึงทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยๆ และถึงแม้จะปวดปัสสาวะแต่จะปัสสาวะได้ก็ต้องเบ่ง รอ และปัสสาวะไม่พุ่งแรงเหมือนแต่ก่อน อาจไหลๆ หยุดๆ หลังปัสสาวะแล้วอาจยังมีหยดออกอีกบ้าง มีความรู้สึกถ่ายไม่สุด อยากถ่ายอีก ทำให้ต้องไปห้องน้ำ
บ่อยๆ ต้องลุกขึ้นตอนกลางคืน ทำให้มีปัญหากับการนอน หรือบางคนอาจกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
โดยทั่วไปถ้าไม่มีอาการ หรืออาการน้อย แพทย์มักไม่แนะนำให้ทำอะไร แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ให้แพทย์พิจารณา ถ้าเป็นมาก แพทย์อาจให้ยาและหรือทำการผ่าตัด ถ้าปัสสาวะไม่ออกเลยถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน- medical emergency ต้องรีบไป รพ. ใส่ท่อผ่าน urethra เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้ปัสสาวะออกมาได้ ถ้าปล่อย BPH ไว้จนเป็นมากจริงอาจทำให้ไตวายได้
การวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมากโต (BPH) ขึ้นอยู่กับอาการ ถ้ามีอาการต้องรีบพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เพราะสาเหตุของอาการต่างๆ มีหลายโรค การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ (antihistamine) จะทำให้ยิ่งปัสสาวะลำบากในคนที่มี BPH เพราะมีผลต่อกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างละเอียด (ต้องนึกถึงโรคอื่นๆ ด้วย) รวมทั้งการดูว่าหลังปัสสาวะยังมีปัสสาวะเหลืออยู่แค่ไหน (post void residual urine test) แพทย์จะตรวจด้วย digital rectal examination, DRE ซึ่งก็คือการคลำต่อมลูกหมากผ่านรูทวารด้วยนิ้วเพราะต่อมลูกหมากอยู่ข้างหน้าของ rectum ซึ่งทำได้ง่าย ไม่เจ็บ ทำแบบผู้ป่วยนอก ใน clinic ได้ แต่แพทย์ก็คลำได้บางส่วนของต่อมลูกหมากเท่านั้น เช่น ว่ามันแข็งนุ่มหรืออย่างไร ฯลฯ และแพทย์อาจจะคุยกับผู้ป่วยเรื่องการตรวจหาค่าหรือระดับของ PSA ในเลือด PSA คือ Prostatic Specific Antigen ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าใช้ PSA อย่างระวังจะเป็นประโยชน์ และการตรวจอื่นๆ ที่จำเป็น เช่น ตรวจปัสสาวะ น้ำตาลในเลือด ฯลฯ
ถ้าแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็น BPH ควรมีชีวิตประจำวันที่เหมาะสม เช่น พยายามลดความเครียดด้วยการออกกำลังกายนั่งสมาธิ เวลาไปปัสสาวะพยายามถ่ายให้หมด เพื่อป้องกันการคั่งค้างของปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะและการติดเชื้อ ระวังเรื่องยาต่างๆ เช่น antihistamine และยาแก้คัดจมูก พยายามไม่ดื่มน้ำมากตอนเย็น โดยเฉพาะที่มีกาเฟอีน แอลกอฮอล์ บนเครื่องบินที่บินนาน ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และพยายามปัสสาวะทุก 60-90 นาที
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี