ในช่วงวันจันทร์-อังคารที่ 6-7 มิ.ย. 2565 ได้มีการสัมมนาผู้บริหารวาระใหม่ของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ที่มีรองศาสตราจารย์ พล.ท.นพ.วิชัย ประยูรวิวัฒน์ เป็นประธาน เพื่อวางแผนการทำงานในช่วง 2 ปีข้างหน้าของวาระกรรมการ คือ ตั้งแต่พฤษภาคมของปี 2565 – พฤษภาคม 2567 ที่ รร.กรุงศรีริเวอร์ อยุธยา ผมในฐานะอดีตประธานราชวิทยาลัย ปัจจุบันนี้เป็นประธานมูลนิธิอายุรศาสตร์ไทย และอดีตประธานอีก 5 ท่าน ได้รับเชิญให้ไปร่วมสัมมนาด้วย
ผมเข้าร่วมประชุมในวันจันทร์ ส่วนวันอังคารที่ 7 เป็นวันที่กรรมการบริหารชุดปัจจุบันพูดคุยกันเอง ท่านอดีตประธานและกรรมการอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องจึงกลับเช้านี้ แต่ผมถือโอกาส เพราะติดเป็นนิสัยตั้งแต่เคยเป็นนายกแพทย์ระบบทางเดินอาหาร ประธานราชวิทยาลัย เลขาธิการแพทยสภา ฯลฯ ที่ไปเยี่ยม รพ.(เกือบ)ทุกจังหวัดมาแล้ว ติดต่อขอไปเยี่ยม รพ.พระนครศรีอยุธยา และ รพ.สต.แห่งหนึ่งแห่งใด ซึ่งผมก็ได้รับความกรุณาเป็นอย่างมากจากท่าน ผอ.รพ.พระนครศรีอยุธยา นพ.โชคชัย ลีโทชวลิต ในการประสานงานให้ผมได้ไปพบน้องๆ แพทย์ๆ ที่มาคุยกันก็มีคุณหมอกาญคุณหมอบรรพต คุณหมอกนกวรรณ และช่วงท้ายท่าน ผอ. มาร่วมด้วยโดยมีคุณแนน เจ้าหน้าที่ทางด้านการศึกษาร่วมคุยด้วย
สมัยก่อน ผมเคยไปบรรยายที่ รพ.พระนครศรีอยุธยาบ่อยครั้งมากสนิทสนมกับคุณหมอ รวมทั้ง ผอ.หลายๆ ท่าน ตั้งแต่คุณหมอจุลกาญจนเจตนี (ผอ.ช่วง 2536-2541 ซึ่งช่วง 2538-2539 ผมเป็นนายกสมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหาร) คุณหมอวีระพล ธีระพันธ์เจริญ (ผอ.ช่วง 2549-2556 ซึ่งช่วง 2551-2554 ผมเป็นสมาชิกวุฒิสภา) แต่ส่วนใหญ่เกษียณไปหมดแล้ว หรือคุณหมอรุ่นน้องที่ยังไม่เกษียณ เช่น นพ.สุรชัย ที่เคยดูแลผมอย่างดีที่นี่ก็ย้ายไปเป็น ผอ.ที่อุทัยธานี
มาคราวนี้จึงเป็นการระลึกถึงความหลัง ฟังข้อมูลใหม่ต่างๆ เช่น อยุธยา มี 16 อำเภอ 209 ตำบล 1,445 หมู่บ้าน มีประชากร 820,129 คน มี รพ.ในจังหวัด 16 แห่ง และมี รพ.สต. 206 แห่ง ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป (ชาย 19.12%, หญิง 23.84%) วัยทำงาน (ชาย 57.21%, หญิง 58.54%) วัยเรียน (ชาย 15.96%, หญิง 18.83%) ก่อนวัยเรียน (น้อยกว่า 5 ปี) หญิง 2.99%, ชาย 3.51%
รพ. มีเตียง 524 เตียงเท่านั้น (แต่ต้องใช้เตียงเสริม) แบ่งออกเป็นอายุรกรรม 217 เตียง ศัลยกรรม 102 เตียง สูตินารี 70 เตียง กุมาร 63 เตียง ออร์โธปิดิกส์ 48 เตียง ตา หู คอ จมูก 24 เตียง 5 อันดับโรคผู้ป่วยนอกที่พบบ่อย คือ ความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคติดเชื้อในปอด ไตวายเรื้อรัง ส่วน 5 โรคผู้ป่วยในที่พบบ่อย คือ ปอดบวม อัมพาต ต้อกระจก อุบัติเหตุบนถนน ลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ ผู้ป่วยนอน รพ.เฉลี่ยคนละ 5 วัน (2563) 7.4 วัน (2564) ผู้ป่วยนอกเฉลี่ย/วัน 1,916 คน (2564) ผู้ป่วยใน 518 คน (2564)
5 อันดับสาเหตุการตายตามลำดับ คือ อัมพาต ปอดบวม โรคหลอดเลือดหัวใจ อุบัติเหตุบนถนน หัวใจวาย (congestive heart failure)
จำนวนแพทย์ทั้งหมด มีประมาณ 150 คน มีนิสิตแพทย์ปี 6 จากรามาฯ มาอยู่ที่นี่ รุ่นละประมาณ 15 คน คนละ 3 เดือน และแบ่งไปตามสาขาต่างๆ 5 สาขา บางรุ่นอาจมาอยู่ภาควิชาอายุรศาสตร์ที่ รพ.นี้บางรุ่นไปอยู่ภาควิชาอายุรศาสตร์ที่ รพ.อื่น ฯลฯ
ที่นี่ไม่มีนิสิตแพทย์ ปี 4 ปี 5 เท่าที่ทราบเพราะว่ามีแพทย์น้อย(อายุรแพทย์มีประมาณ 19 คน) จึงจะยิ่งเป็นภาระ ถ้าต้องมาดูแลนิสิตที่ยังไม่ค่อยมีความรู้ คือ เพิ่งขึ้นคลินิก คือ ปี 4 และปี 5 ที่ รพ.นี้มีแพทย์ใช้ทุน ปี 1 เพียง 15 คนต่อปี ทั้งๆ ที่เคยมีถึง 30 คนต่อปีที่นี่ไม่มีแพทย์ใช้ทุนแบบ fixed ward (คือปีแรกหมุนเวียนตามปกติ ส่วนปี 2, 3 อยู่ภาควิชาอย่างหนึ่งอย่างใดเท่านั้น)
เท่าที่ฟังดู (จาก 3 คนเท่านั้น) แพทย์ที่นี่เนื่องจากมีแพทย์น้อย ต้องการให้มีแพทย์ใช้ทุนปี 1 มาอยู่ที่นี่ อย่างน้อยให้มากเท่าเดิม คือจาก 15 คน เป็น 30 คน และอยากได้แพทย์ fixed ward
แต่ไม่อยากได้นิสิตแพทย์ปี 4,5 ในขณะนี้ เพราะมีแพทย์ที่จะต้องไปสอน ดูแล เป็นพี่เลี้ยง น้อย
และทราบว่า รพ.นี้ต้องการ cath lab (ห้องแล็บที่สามารถแยงหลอดเลือดหัวใจ ฯลฯ) ผมเองแปลกใจมากที่ รพ.นี้ ซึ่งเป็น รพ.ศูนย์ เป็นจังหวัดที่สำคัญมาก เคยเป็นเมืองหลวง ไม่ได้มีการพัฒนาไปมากกว่าเท่าที่ผมเห็นจากอดีตมากนัก ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้คงต้องฝากท่านผู้ตรวจ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขโปรดกรุณาช่วยดูๆ ทั้งนโยบาย ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี สำหรับผม รพ.พระนครศรีอยุธยาต้องใหญ่กว่านี้มีแพทย์มากกว่านี้ ทุกสาขา อนุสาขา เครื่องมือ อุปกรณ์ จนแทบไม่ต้องส่งผู้ป่วยต่อเลย ยกเว้นโรคที่จำเป็น ต้องมีเครื่องมือที่ถึงแม้แพงมากแต่จำเป็น หลักการควรเป็นอย่างนั้น ทุก รพ.จังหวัด ทุก รพ.ศูนย์ ต้องมีศักยภาพมากเพียงพอ จะได้สกัดกั้นไม่ต้องให้ผู้ป่วย ประชาชนไปตรวจที่ รพ.เอกชน (ซึ่งมีที่อยุธยา) หรือต้องเดินทางไปยัง รพ.ต่างๆ เช่น ที่กรุงเทพฯ เพราะจะเป็นการเสียเงิน เสียเวลาของประชาชน
ผู้บริหารทุกระดับต้องเก่งคิด เก่งคน เก่งงาน เก่งเงิน เก่งเวลา เก่งขาย และเก่งฟัง ในเรื่องนี้ต้องดูแลให้ลูกน้องมีแพทย์ (พยาบาลเจ้าหน้าที่อื่นๆ ด้วย) ทุกสาขา อนุสาขาให้เพียงพอ มีตำแหน่ง เครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีสวัสดิการที่ดี กระตุ้นให้บุคลากรมาอยู่และรักษาพวกเขาไว้ในระบบให้ได้ รวมทั้งต้องกระตุ้น สนับสนุนให้เขามีความก้าวหน้าทางด้านหน้าที่การงานทุกประการ และรัฐบาลต้องไม่ลืมว่าโรงเรียนสำหรับลูกต้องดีพอทั่วทั้งประเทศ ข้าราชการจะได้ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนที่กรุงเทพฯ หรือเมืองที่ใหญ่กว่าที่พวกเขารับราชการอยู่
ในฐานะที่เคยเป็นผู้บริหารสมาคมแพทย์ ราชวิทยาลัย แพทยสภาและสมาชิกวุฒิสภา อยากเห็น รพ.ต่างๆ มีการพัฒนาตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดแทบไม่ต้องส่งผู้ป่วยต่อ หรืออย่างมากส่งในเขตสุขภาพ
ขอฝากท่านที่เกี่ยวข้องด้วยครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี