ผมสอนแพทย์มาตั้งแต่ พ.ศ.2514 ส่วนใหญ่จะเป็นช่วง 07.00-08.00 น. ทุกเช้าของวันธรรมดา จากประสบการณ์ของผมพบว่าสิ่งที่คุณหมอทั้งหลายส่วนใหญ่ยังขาด คือ 1) วิธีเรียน หรือเรียนรู้ วิธีเรียน เรียนอย่างไรจึงจะรู้หัวใจของเรื่องนั้นๆ ต้องย่อความเก่ง จับประเด็น สรุปให้ได้ และต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความสำคัญมาก คนไทยอ่อนภาษาอังกฤษมาก ทุกระดับทุกชนชั้น ทุกอาชีพ วิชาชีพ แม้แต่หมอ (ตอนจบใหม่ๆ ถ้าเรียนหลักสูตรภาษาไทย) ถึงเรียนไปก็แทบไม่ได้ใช้ ใช้แต่อ่าน เขียน 3) การสื่อสาร มนุษยสัมพันธ์หรือจิตวิทยา มีความสำคัญมาก ทำอย่างไร จะพูด คุย กับคนทุกระดับ ทุกวัย ให้รู้เรื่อง เข้าใจจิตใจเขา สามารถพูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย 4) กฎหมายทั่วๆ ไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องการเสียภาษี พินัยกรรม 5) การออม การลงทุน 6) การดูแลสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค
ผมมีความเห็นว่าทุกเรื่องที่ผมเอ่ยถึงนั้นควรมีการสอนตั้งแต่ในโรงเรียน แต่คนสอนต้องเก่ง ไม่ต้องยาวยืด อย่างเช่น การดูแลสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค สอน 1-2 ชั่วโมงพอแล้ว เรื่องอื่นๆ ที่มีความสำคัญที่ควรจะมีการสอนตั้งแต่ในโรงเรียนสมัยนี้ คือ 1) โลกร้อน 2) สังคมสูงอายุ 3) ความปลอดภัยบนถนน 4) การปฐมพยาบาลเบื้องต้น (1st aid) การกู้ชีพ และการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า (AED - Automatic External Defibrillator) หรือถ้าจะให้ดี คือ สอนทั้ง SDG - Sustainable Development Goals แต่คนที่สอนต้องเก่ง รู้จริง สั้น กะทัดรัด แต่ได้ใจความและสนุก
ทั้งหมดนี้ เวลาผมมีโอกาสผมจะพูดแบบสรุปๆ ให้ประชาชน แพทย์ อาสายุวกาชาด และอาสากาชาดฟัง รวมทั้งการบริจาคโลหิต อวัยวะ ดวงตา อีกด้วย สำหรับการบริจาคโลหิตนั้นมีความสำคัญมาก และยังมีการบริจาคไม่เพียงพอ โดยมากประชาชนมักไปบริจาคในวันพระราชสมภพในหลวง พระราชินี กรมสมเด็จพระเทพฯ ทำให้ในช่วงนั้นมีการ “จราจร”แออัด คนไปบริจาคมากเกินไป ทำให้การต้อนรับ ดูแล อาจไม่ทั่วถึง ทำให้ผู้บริจาคเข็ด และไม่อยากไปบริจาคอีก และโลหิตล้นเหลือในช่วงนั้น แต่ช่วงอื่นๆ ยังขาด ผมจึงเสนอความคิดให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย ประชาชน อาสายุวกาชาด และอาสากาชาดต่างๆ ให้พิจารณาไปบริจาคโลหิตในเดือนวันเกิดตนเอง หวังว่าจะได้เป็นการกระจายการบริจาคโลหิตออกไปทั่วทุกวัน ทุกอาทิตย์ ทุกเดือน และหลังจากนั้นไปบริจาคทุก 3 เดือน หรือไปบริจาคโลหิตในเดือนวันเกิดคุณพ่อและคุณแม่ เพื่อเป็นการทำบุญให้ผู้บังเกิดเกล้าอีกด้วย ท่านคงดีใจเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับการบริจาคโลหิต ในปีหนึ่งมีผู้บริจาคเพียงครั้งเดียวต่อปีถึง 1 ล้านคน! ถ้าทั้ง 1 ล้านคนกรุณาไปบริจาค 2-4 ครั้งต่อปี การบริจาคโลหิตจะเป็นไปอย่างเพียงพอ ผมถึงเรียนเสนอกรรมการสรรหาโลหิต และเจ้าหน้าที่ว่า ผู้ที่กรุณาไปบริจาคครั้งแรก (และความจริงทุกๆ ครั้งและคงทำอยู่แล้ว)เราต้องดูแลท่านเหล่านั้นให้ดี ให้ทุกๆ ท่านประทับใจ และอยากมาอีก ต้องดูแลตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในสภากาชาดไทย ที่จอดรถ คนต้อนรับ อ่อนน้อม พูดจาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีจิตวิทยาที่ดี เพราะบางทีท่านที่มาบริจาคอาจกลัวเข็ม กลัวเจ็บ แต่มาเพราะอยากทำบุญ อยากทำบุญให้ตนเอง คุณพ่อคุณแม่ หรือในหลวง ฯลฯ ต้องทำให้ท่านเหล่านี้ไม่กลัว อบอุ่น ทำมากที่สุดเท่าที่มีกำลัง
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การสอนเด็กที่เริ่มตั้งแต่ในโรงเรียน ต้องมีทักษะในการสอน ปลุกปั่น ปลุกระดม ล้างสมอง เด็กให้เป็นคนดี ให้เป็นคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เห็นแก่ส่วนรวม มีเหตุผล รู้จักพอ รู้จักผิดชอบชั่วดี และปลุกระดมให้เด็กๆ เป็นคนที่เก่งคิด เก่งคน เก่งงาน เก่งเงิน เก่งเวลา เก่งขายและเก่งฟัง รวมทั้งมีความรอบรู้ รู้มันทุกเรื่องในระดับหนึ่ง มีนิสัยชอบอ่าน ชอบเขียน ชอบซักถาม อยากรู้อยากเห็น ท่องเที่ยว และจดไว้ มีเพื่อนหลายๆ อาชีพ และต้องดูแลสุขภาพตนเองให้เป็น
และต้องเป็นคนที่รักในสิ่งที่ทำ และ “กัดไม่ปล่อย”พบทางตันไม่ยอมแพ้ ปล่อยวาง ฯลฯ
แค่นี้เราก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพสำหรับประเทศไทย ที่จะเป็นทั้งคนดี ทั้งเก่ง ทั้งรอบรู้ และมีสุขภาพที่ดี พร้อมที่จะเป็นผู้นำ ผู้บริหาร ทุกเมื่อ เมื่อเวลามาถึง ไม่ใช่พอได้รับเลือกเป็นหัวหน้า ผู้นำ จึงจะเริ่มต้นไปหาคุณสมบัติของผู้นำที่ดี
ผมอยากให้ประเทศไทย สังคมไทย เริ่มต้นอย่างจริงจัง สอน แนะนำ เด็กทุกคนที่เกิด ให้เป็นคนดีที่เก่ง รอบรู้และมีสุขภาพดีตั้งแต่บัดนี้ ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ ครอบครัว ครูบาอาจารย์ สังคม ผู้นำประเทศ ดารา นักแสดงต่างๆ ทุกๆ คนต้องมาร่วมกันรับผิดชอบ สอนให้เด็กเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง ต้องเอาวิกฤตที่มีเด็กเกิดน้อยมาเป็นโอกาสในการลงทุนสร้างให้เด็กทุกๆ คนเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ
และถ้าเป็นดังนี้ อีกประมาณ 20 ปี เราจะมีพลเมืองที่ดีมีคุณภาพ และเราต้องทำตลอดไป
ทุกๆ คนมีส่วนช่วยครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์

‘กรมบัญชีกลาง’ปรับอัตราใหม่ ‘ค่าอาหาร-ที่พัก’การฝึกอบรม
‘นิพิฏฐ์’ฉายภาพเลือกตั้ง‘ภาคใต้’ ชวนปชช.กากบาท X เปลี่ยนแปลงสังคมสีเทา
กาง‘ดัชนีการเมือง’สะท้อนปชช.‘เฝ้าดู แต่ยังไม่มั่นใจ’ผลงานรัฐบาล ‘นายกฯ-ไอซ์ รักชนก’โดดเด่น
‘รองนายก อบต.’ยิงดับอดีตทหารป่าหวาย-เมีย ฉุนปล่อยดูแล‘แม่ยาย’ป่วยติดเตียงคนเดียว
เศรษฐศาสตร์วันหยุด : เศรษฐกิจไทยปี 2569 อาการน่าเป็นห่วง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี