การดูแลสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการมีสุขภาพที่ดี ผมได้เขียนไปแล้ว 2 ตอน คือ วิธีการดูแลสุขภาพหลักๆ ขึ้นอยู่กับ 1) อาหาร 2) ออกกำลังกาย 3) ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอากาศเป็นพิษ 4) ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือถ้าจะดื่ม ดื่มไม่เกิน 2 หน่วยแอลกอฮอล์ของอังกฤษ 5) ไม่ใช้สารเสพติด 6) มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย 7) เดินสายกลางในชีวิต ปล่อยวาง มีสติ ไม่ประมาท ไม่โลภ 8) นอนให้เพียงพอ(7-9 ชม.) 9) ฉีดวัคซีนป้องกันโรค ทุกช่วงวัย 10) ตรวจสุขภาพเป็นระยะๆ 11) ตรวจคัดกรองหาโรค 12) ระวังอุบัติเหตุทางถนน การหกล้ม 13) มีงานทำ ทำกิจกรรมร่วมในสังคม สมองจะได้ไม่เสื่อม
และควรควบคุมให้ดัชนีมวลกายไม่เกิน 23 พุงชายหญิงไม่เกิน 90,80 ซม.ตามลำดับ ความดันโลหิต 120/80 (บนไม่เกิน 120 ล่างไม่เกิน 80) ชีพจรซึ่งปกติอยู่ประมาณ 60-100 ครั้ง/นาที ลดลงจากเดิมของท่าน เช่น ก่อนเริ่มออกกำลังกายชีพจรเต้น70 ครั้ง/นาที หลังออกกำลังกาย 3 เดือน อาจเต้นเพียง 60 ครั้ง/นาที แสดงว่าหัวใจท่านแข็งแรงขึ้น
และตรวจทางห้องแล็บเพิ่มเติม คือ ปัสสาวะ น้ำตาลไขมัน ในเลือด มาแล้วนั้น
วันนี้ขอพูดถึงการตรวจทางห้องแล็บต่อ ซึ่งก็คือการตรวจการทำงานของตับ (liver function tests หรือ LFTs) การทำงานของไตการตรวจหาระดับกรด uric ในเลือด ซึ่งจะช่วยบอกเราว่าเราเป็น หรือมีความเสี่ยง ที่จะเป็นโรค gout (โรคข้อชนิดหนึ่ง) หรือไม่
LFT มีการตรวจต่างๆ ดังนี้ Total bilirubin (bilirubin ถ้าสูงจะทำให้ตาขาวมีสีเหลือง หรือที่เรียกกันว่าดีซ่าน ตัวก็อาจเหลืองไปด้วย) ซึ่งจะแยกออกเป็น direct หรือ indirect bilirubin, alkaline phosphatase, transaminases (หรือ SGOT, SGPT ซึ่งจะช่วยบอกว่ามีการอักเสบของเนื้อตับหรือไม่) รวมทั้งโปรตีน albumin globulin ด้วย
การตรวจการทำงานของไต นอกจากปัสสาวะแล้ว ยังควรตรวจ BUN (blood urea nitrogen) และ creatinine (Cr) หรือของเสียในร่างกาย ปกติไตจะขับของเสีย ออกจากร่างกายโดยเฉพาะของเสียที่มาจากโปรตีน ถ้า BUN สูง และโดยเฉพาะ Cr บ่งว่าไตเริ่มต้นทำงานไม่ดีแล้ว
โดยทั่วๆ ไปการตรวจเลือดแค่นี้น่าจะพอสำหรับผู้ที่ไม่มีอาการ แต่ถ้าแพทย์สงสัยโรคหนึ่งโรคใด อาจตรวจเลือดเพิ่มเติม เช่น โรคไทรอยด์ โรคหัวใจ โรคไขข้อ ฯลฯ หรือถ้าสงสัยจะมีเชื้อ HIV/AIDS ตับอักเสบ B, C ก็อาจตรวจเพิ่มเติม คนในโลกนี้มีถึง 350 ล้านคนที่มีเชื้อ HBV (Hepatitis B Virus), HCV (Hepatitis C Virus)หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ C องค์การอนามัยโลกจึงให้วันที่28 กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันรณรงค์ให้ทุกๆ คนไปตรวจหา 2 เชื้อนี้เพราะ 2 เชื้อนี้สามารถทำให้ตับอักเสบเฉียบพลัน เรื้อรัง จนกลายเป็นโรคตับแข็ง และมะเร็งของตับได้ เป็นที่น่ายินดีที่ สปสช. (30 บาท)ได้ให้ไปตรวจหาเชื้อ HBV, HCV ได้แล้ว
ขอแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับเชื้อ HBV, HCV หน่อย เพราะในความเห็นของผม 2 เชื้อโรคนี้สมัยนี้ป้องกันและรักษาให้หายได้แล้ว ทั้ง 2 เชื้อติดต่อได้จากเลือดและผลิตภัณฑ์เลือด พลาสมา (น้ำในช่องคลอด น้ำอสุจิ ฯลฯ) วิธีการติด คือ ตอนเกิดจากแม่ที่มีเชื้อ จากการมีเพศสัมพันธ์ จากการใช้เข็มฉีดยาที่สกปรก การสัก เจาะหูด้วยเข็มที่สกปรก ใช้มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกัน ฯลฯ
ความแตกต่างของการติดเชื้อทั้ง 2 คือ ใน HBV ถ้าแม่มีเชื้อ ลูกจะติดได้ 90% HCV จะติดได้จากแม่ แต่ไม่เกิน 10% HBV จะติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์มากกว่า HCV และ HCV มักติดจากการใช้เข็มฉีดยาที่สกปรกร่วมกัน อย่างในกรณีของผู้ใช้ยาเสพติดที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จนบางประเทศให้ผู้ใช้ยาเสพติดเอาเข็มสกปรกมาแลกกับเข็มที่สะอาดได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าสามารถลดการติดเชื้อ HIV, HBV, HCV ได้ รวมทั้งลดการใช้สารเสพติดอีกด้วย ทั้งนี้ต้องมีมาตรการอื่นๆ ที่เรียกรวมๆ กันว่า “Harm Reductions” ด้วย
แต่ข้อดี คือ เรามีวัคซีนป้องกัน HBV ได้แล้ว และประเทศไทยได้ฉีดให้ประชาชนฟรีตั้งแต่ปี 2535 แต่ต้องฉีดในวันแรกที่เด็กเกิด และอีก 2 เข็มหลังจากนั้น ส่วน HCV ยังไม่มีวัคซีน แต่ข้อดี คือ การรักษา HCV ได้ผลดีมาก ใช้กินยาประมาณ 3-6 เดือน90-95% จะหายขาด ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเรามีเชื้อ HCV และไปรักษา ว่าที่แม่ก็จะไม่มี HCV ซึ่งก็จะไม่ส่งต่อไปยังลูก
ฉะนั้นถ้าเราเกิดมาโดยไม่ได้เชื้อ HCV จากแม่ และถ้าเรามีพฤติกรรมที่ดี มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ไม่ใช้เข็มฉีดยาที่สกปรก ฯลฯ เราก็ไม่ต้องติดเชื้อ HCV เลย เราก็จะป้องกันการเกิดโรคตับต่างๆ ได้ตั้งแต่ ตับอักเสบเฉียบพลัน เรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งของตับ
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการป้องกัน หรือตรวจวินิจฉัย รักษาโรคในระยะแรกๆ จะมีผลดีมาก คุ้มค่า การตรวจอื่นๆ ในสายตาผมคือ การตรวจเอกซเรย์ปอด การตรวจหัวใจด้วยเครื่องไฟฟ้า(electrocardiogram หรือ ECG (อังกฤษ) หรือ EKG (อเมริกา) ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้มีไว้เพื่อเปรียบเทียบกับการตรวจทั้ง 2 วิธีที่อาจมีขึ้นได้ในอนาคต การตรวจ ECG ในคนที่ไม่มีอาการ อาจไม่ช่วยบอกว่ามีโรคหลอดเลือดหรือไม่ แต่เป็นการดูคร่าวๆ ว่าหัวใจโตไหม เต้นกี่ครั้งต่อนาที เต้นผิดปกติไหม ฯลฯ
นอกจากนั้นผมยังอยากให้ทุกๆ คนทำการตรวจช่องท้องด้วยเครื่อง ultrasound (ถ้าสบายดีไม่ทราบว่า สปสช.จะจ่ายเงินให้ไหม) แต่เป็นการตรวจที่ง่าย ว่าตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี มดลูก รังไข่ ฯลฯ ของเรามีอะไรผิดปกติไหม โดยไม่เจ็บตัว สะดวกสบายในการตรวจ เพราะเพียงแต่มีเครื่องมาถูบนหน้าท้องเรา ไม่ต้องเข้าอุโมงค์เหมือนการทำ CT, MRI ฯลฯ ผมแนะนำให้ผู้ที่มีเงินทำไว้เป็น baseline ทุกๆ คน ถ้า สปสช.ยังไม่จ่ายให้
วันนี้พอแค่นี้นะครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี