เก่งคิดแล้ว ต้องเก่งวางแผนด้วย ชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนตายจะเต็มไปด้วยปัญหา อุปสรรค ความผิดหวัง อันตรายในทุกๆ ด้าน ผมจึงมองเห็น พูดเสมอว่า ชีวิตคือ การบริหารความเสี่ยง จะบริหารความเสี่ยงได้ เราต้องมีความรู้ ประสบการณ์ ผ่านโลกมาเยอะ และต้องเก่งวางแผน ความเสี่ยงในชีวิตมีมากมาย อาทิ ตั้งแต่หลังเกิด เรามีความเสี่ยงที่จะตาย (ข้อมูลทางด้านแพทย์)ในวันแรก อาทิตย์แรก เดือนแรก ปีแรก และ 5 ปีแรกมากที่สุด คุณพ่อคุณแม่ คุณหมอ พยาบาล จึงต้อง “บริหารความเสี่ยง” แทนเราให้ได้ หลังจากนั้นก็มีความเสี่ยงในการ “สอบ” เข้าโรงเรียนที่ดีๆ ปัจจุบันนี้แข่งกันตั้งแต่อนุบาล ต้องทั้งเก่งและ “รวย” จึงจะเข้าได้ เสี่ยงที่จะเรียน เข้าโรงเรียนประถม มัธยม อุดมศึกษา เรียนวิชาที่สังคมต้องการ จะได้หางานได้ มีรายได้ดี หลังจากนั้นก็เสี่ยงต่อการใช้จ่ายมากไป เสี่ยงต่อความยากจน เสี่ยงต่อการลงทุนที่ทำให้เราขาดทุน เสี่ยงในการเลือกคู่ครอง เสี่ยงต่อการเลี้ยงดูลูก ฯลฯ เสี่ยงต่อการเกษียณและไม่มีเงินใช้ เสี่ยงต่อการมีสุขภาพที่ไม่ดี ปัจจุบันนี้คนเราอาจอยู่ได้จนถึง 90-100 ปี ฉะนั้นเราต้องบริหารความเสี่ยงตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่หนุ่มๆ สาวๆ หรือตอนเกษียณ เพื่อให้เราเกษียณแล้วมีสุขภาพที่ดี มีอิสรภาพทางการเงิน อิสรภาพทางการเงิน คือ มีรายรับจากทรัพย์สิน เช่น จากบ้าน รถเช่า ปันผลจากหุ้น กองทุน ฯลฯ โดยไม่ต้องทำงาน - เหนือรายจ่าย ทำให้เราอยู่อย่างสุขสบาย สามารถเดินทางไปเที่ยวรอบโลก ไปเยี่ยมลูกหลานที่อเมริกา อังกฤษ หรือในจีน (สมัยนี้และข้างหน้าในฐานะที่จีนจะเป็นเจ้าโลกในทุกๆ ด้าน)
เก่งคิด แล้วต้องเก่งคนด้วย เก่งคน คือ มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้าได้กับคนทุกประเภท ทุกวัย ทุกเพศ ดูคนออกอย่างรวดเร็ว ว่าดีมากหรือดีน้อยจะได้คบได้ใกล้ชิด หรือคบแต่ห่างๆ ดูออกว่าเขาเก่งทางไหน มีจุดอ่อนอะไร ชอบไม่ชอบอะไร จะได้ “ใช้” เขาให้ถูกกับงาน จะได้ชนะใจเขา ถ้ารู้ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มีความสามารถในการโน้มน้าวคนให้มาช่วยเราอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ให้เขามาช่วยเพราะเราเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นนายเท่านั้น เขาจะได้มาทั้งกายและใจ คนที่มาเฉพาะกาย แต่ใจไม่มา ผลจะออกมาไม่ดีเท่ากับมาทั้งกายและใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นทหารในสนามรบ ถ้านายดี เป็นผู้นำตัวอย่าง ทหารผู้ใต้บังคับบัญชาจะยอมถวายชีวิตให้เลย ถ้าเราดูแลเขาในยามรบและยามสงบ ดูแลเขาทั้งครอบครัว ในทุกๆ ด้านของชีวิต เป็นนาย ไม่ว่าทำงานอะไร ถ้าชนะใจลูกน้อง ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก
เก่งคิด เก่งคน ต้องเก่งงานด้วย เก่งงาน คือ ต้องรู้หน้าที่ของตนเอง ฉะนั้นผู้บังคับบัญชา นาย ต้องเขียนหน้าที่ job description ให้ดีครบทั้งหมด เจ้านาย ลูกน้องต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง ตีบทให้แตกว่าหน้าที่เราคืออะไร แล้วคิด คิด คิด คิด เพื่อจะทำหน้าที่ให้ดีและสมบูรณ์ที่สุดครบทุกด้าน อย่างที่ผมเคยเขียน พูด สอนแพทย์ ลูกน้อง เพื่อเป็นตัวอย่างบ่อยๆ ว่าตอนผมเป็นเลขาธิการแพทยสภาใหม่ๆ ผมพยายามหา job description ของเลขาธิการหรือของแพทยสภา ซึ่งไปพบที่ พ.ร.บ.แพทยสภา 2525 มาตรา 7 เมื่อรู้หน้าที่แล้วต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา หาความรู้ใส่ตัว ไม่อายที่จะไปถามผู้รู้ ถึงแม้อาจจะเป็นลูกน้องเรา เช่น ถามเจ้าหน้าที่แพทยสภาจากหลายๆ คน แต่เราต้องกรองข้อมูลให้ดีด้วย
เก่งคิด คน งาน แล้วต้องเก่งเงินด้วย ต้องหาเงินเก่ง ใช้อย่างเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งทำงาน ทำโครงการโดยไม่ต้องใช้เงิน หรือเงินของเราเอง เช่น ผู้ว่าฯ กทม. อยากปลูกต้นไม้ล้านต้น ต้นละ 20 บาท ถ้าต้องใช้เงินตนเองก็จะเป็นงบประมาณ 20 ล้านบาท เพียงแต่ใช้สมองเชิญชวนองค์กรต่างๆ บริษัทห้างร้าน มาร่วมกันปลูก ก็จะประหยัดเงินของ กทม.ไปได้มากมาย ทั้งนี้ การที่เราจะเชิญชวนใครมาช่วยเรา เราจะต้องขายของให้เก่ง และของที่จะขายต้องดีจริงๆ ด้วย
ส่วนตัวผม ผมว่าการหาเงินสมัยนี้ไม่ยาก โดยเฉพาะถ้าเราเป็น “แบรนด์”ที่ดี เช่น คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช รามาฯ หรือจุฬาฯ ฯลฯ ในสมัยนี้ ถ้ามีโครงการดีๆ ถึงแม้ไม่มีงบประมาณ ถ้าผู้บริหารขายของเก่งก็จะหาเงินได้ไม่ยากนัก เพราะชื่อเสียงของสถาบันต่างๆ ติดลมบนแล้ว แต่อย่างที่บอก ของที่จะขายต้องดีจริง เช่น นำไปช่วยผู้ป่วยยากไร้ ที่มีความจำเป็นจริงๆ และต้องเตรียมข้อมูลไว้ทุกด้าน ครบวงจร และพูด เขียน เสนอเก่ง “ขาย”ของเก่ง เก่งจนผู้ที่เป็นผู้พิจารณาจะบริจาค ถ้าไม่ให้ จะรู้สึกว่าตัวเองผิดมาก ทารุณมาก ใจดำ แย่มาก อะไรประมาณนั้น
นอกจากหาเงินเก่งแล้ว ต้องใช้อย่างประหยัด cost effective แล้ว ยังต้องรู้จักออมและลงทุนด้วย ปัญหาของประเทศไทย คือ ถ้าเป็นคณะแพทย์ มูลนิธิ โรงพยาบาล ฯลฯ เราเอาไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นไม่ได้ เราลงทุนได้แต่ประเภทพันธบัตรฯ ทำให้รายได้หรือดอกผลได้น้อยมาก รัฐบาลอาจจะต้องพิจารณาเรื่องนี้และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม คนธรรมดาลงทุนอะไรก็ได้ แต่อย่างว่า ขณะนี้ทุกๆ คนขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งนั้น รวมทั้งผมด้วย!? ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงมีกฎเกณฑ์ดังกล่าว แต่ถ้าเราลงทุนแบบฉลาดระยะยาว คณะ รพ. มูลนิธิ ลงทุน ยาวทั้งนั้น ลงทุนซื้อหุ้นที่ดีจริงๆ(มีความรู้พื้นและเทคนิค) ซื้อในราคาที่เหมาะสม ที่มีปันผลดี การถือระยะยาวก็ไม่มีความเสี่ยงมากเท่ากับซื้อและถือในระยะเวลาอันสั้น
เก่งคิด คน งาน เงิน แล้วต้องเก่งเวลาด้วย ต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์สูงสุด ทุกคนมีเวลาเท่ากัน คนที่บริหารเวลาเก่ง จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า ผมอยากให้ลูกศิษย์แบ่งเวลาให้เป็น แล้วทำทุกๆ อย่าง บางอย่างมาก บางอย่างน้อย ไม่ใช่เอาแต่เรียน แต่ตอนแรกต้องยึดหัวหาดทางด้านวิชาการ ทางด้านการเรียนไว้ก่อน โดยเฉพาะตอนที่ไปเข้าโรงพยาบาลแห่งใหม่ๆ แบ่งเวลาให้เหมาะสมทั้งเรียน เล่น กิน นอน พักผ่อน อ่านหนังสือเรียน อ่านหนังสืออ่านเล่น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ งานอดิเรก ออกกำลังกาย สังคม คณะ ครอบครัว ฯลฯ ทั้งนี้บางช่วง บางเวลา อาจทำบางอย่างน้อย บางอย่างมาก แต่เรื่องเรียน งาน ต้องเป็นหลัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องนอนให้พอ 7-9 ชม. ออกกำลังกาย 30 นาทีทุกวัน ระหว่างที่ออกกำลังกายใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการฟังอะไรไปด้วย ดีที่สุดคือไม่ใช่งาน อาจเป็นธรรมะ หุ้น เศรษฐกิจ ความรู้อื่นๆ กลับมาจากออกกำลังกายระหว่างรอให้เหงื่อแห้ง อ่านภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่วิชาการ แต่เป็นหนังสืออ่านเล่น จะได้ความรู้ ศัพท์ภาษาอังกฤษ ถ้าต้องดูทีวีก็วิ่ง หรือถีบจักรยานอยู่กับที่ไปด้วย
เก่งคิด คน งาน เงิน เวลา แล้วต้องเก่งขาย ซึ่งผมได้พูดไปแล้วจะขายเก่งได้ต้องรอบรู้ทุกเรื่องในเรื่องที่จะขาย แล้วต้องเสนอเก่ง พูด เขียน อธิบาย สามารถพูด 5 นาทีก็ได้ในเรื่องนี้ พูด 3 วัน 3 คืนก็ได้ มี take home message และที่สำคัญ คือ สิ่งที่เสนอต้องเป็นความจริง ไม่ใช่พูด “โกหก ตอแหล” เก่ง ต้องพูดทั้งข้อดีและข้อเสียหรือความเสี่ยงของโครงการ ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี