ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องบัญชีทรัพย์สินของกลุ่มผู้มีตำแหน่งใน ครม.ชุดปัจจุบัน ที่เริ่มถูกนำไปเปรียบเทียบกับ
ครม.ของทหารในยุคต่างๆ อยู่ๆ ก็มีข่าวความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ถึงขนาดระบุชื่อพรรคได้แล้วอย่างพรรคพลังพลเมือง? ควบคู่กับข่าวความไม่ชัดเจนเรื่องกำหนดวันเลือกตั้งที่นายกฯเคยประกาศไว้ปลายปีนี้ โดยข้อสงสัยของนักวิชาการเรื่องเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้ง สส.ไปอีก 90 หรือข้อสงสัยการไม่ปลดล็อกพรรคการเมืองเดิม เป็นไปเพื่อเอื้อพรรคการเมืองใหม่ ใช่หรือไม่? สิ่งเหล่านี้นำมาสู่คำถามเรื่องบัญชีทรัพย์สินกับการสืบทอดอำนาจ คำถามถึงสิ่งที่ได้มากับหนทางเดินต่อไป
หากคิดจะอยู่ในสนามการเมืองต่อไปจริง ผ่านกระบวนการเลือกตั้งเพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับถือว่า ไม่ผิดอะไร แต่คำถามว่า เหตุใดต้องเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป นำมาสู่การตั้งข้อสงสัยถึง 2 เรื่องที่ยังทำไม่เสร็จหรือไม่? 1.คือเรื่องข้อครหาที่ว่า พรรคใหม่ 2-3 พรรคยังจัดไม่ลงตัว รวมถึงยังรวบรวมสมาชิกจากพรรคเดิมเข้ามาอยู่ไม่เรียบร้อย ประจวบเหมาะกับ สนช.มีความเห็นให้เลื่อนเลือกตั้งออกไป 90 วัน? เพราะข้อสังเกตสำคัญอีกเรื่องคือ การยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง บ่งชี้ว่าต้องการให้พรรคใหม่แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนหรือไม่?
2.คือการใช้อำนาจรัฐในมือปูทางสู่ฐานเสียงเลือกตั้งในอนาคต เพราะเริ่มมีตัวเลขระดับ 10 ล้านคน ปรากฏในเป้าหมายบางโครงการ เท้าความไป 2-3 บทความก่อนหน้าที่เราตั้งข้อสังเกตกับโครงการ จำนวนมากของคสช.ที่ใช้งบประมาณมหาศาล ตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปีนี้ ที่หลายคนถามว่า เป็นประชานิยมหรือไม่? ตั้งแต่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเมื่อปีที่แล้ว และล่าสุดเพิ่มงบฯเฟส 2 เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ เพื่ออัดฉีดปูพรมผู้มีรายได้น้อยในส่วนการอุปโภคบริโภคเป็นหลักโดยละทิ้งโครงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานราก ทั้งด้านการเกษตรและสินค้าเกษตรที่ยังไม่สามารถคิดค้นการแก้ปัญหาวิกฤติได้อย่างแท้จริง แต่ล่าสุดโครงการไทยนิยม ไทยยั่งยืน ทำเอาขาเก่าพรรคการเมืองมือประชานิยมถึงกับร้องอ๋อ!
โครงการไทยนิยมไทยยั่งยืน อันประกอบด้วยเหล่าข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำมากมายจากทุกกระทรวง โดยนำบิ๊กดาต้าที่ได้จากการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาเป็นเค้าโครง กลุ่มเป้าหมายโครงการนี้มี 11.4 ล้านคน จากกลุ่มคนผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ ซึ่งจำนวนนี้พอจะเป็นฐานเสียงพรรคการเมืองได้เลย บางคนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าฐานเป้าหมายดังกล่าวคือกลุ่มเดียวกับที่เคยได้รับเงินจากโครงการใกล้เคียงกันของรัฐบาลก่อนหน้าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม เราควรจะพิจารณาข้อเท็จจริงก่อนการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืนกว่า 7,463 ทีม ที่มีตั้งแต่ระดับจังหวัด ลงลึกถึงอำเภอ ตำบล แต่เมื่อดูโครงสร้างภายใน กลับเห็นโครงสร้างการทำงานที่ไม่ต่างจากระบบราชการส่วนภูมิภาค ที่ให้ข้าราชการส่งจากส่วนกลางที่ไม่ได้ยึดโยงกับคนในพื้นที่มาเป็นคนคิดคนเสนอโครงการ มากกว่าภาคประชาชนที่นับเป็นสัดส่วนที่น้อยมากในกรรมการ จึงไม่แน่ใจว่า จะสามารถแก้ปัญหาของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ได้หรือไม่?
และมือไม้ที่เป็นข้าราชการก็คือทีมงานชุดเดียวกับที่ทำงานล้มเหลวเรื่องเศรษฐกิจตลอดสามปีมิใช่หรือ? คำถามต่อไปคือ โครงการไทยนิยมฯมีวัตถุประสงค์อะไรแน่ เพราะที่กล่าวมาแบบกว้างๆ ทั้งการแก้ปัญหาในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง สร้างเสริมประชาธิปไตย และยังให้ไปรวบรวมผลงานในอดีตในนามประชารัฐมาร่วมอีกด้วย ดูจะเป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจครอบจักรวาลที่ไม่รู้จะสิ้นสุดที่ใด และเมื่อฟังคำสัมภาษณ์จากนายกฯ ที่ว่า โครงการไทยนิยมไทยยั่งยืน เพื่อสร้างความดีงามในทุกเรื่อง ก็ยิ่งสร้างความสับสนขึ้นไปอีก
คำถามต่อไปคือเรื่องงบประมาณ? ด้วยโครงการไม่มีรูปแบบการใช้เงินชัดเจนว่าจะใช้ทำอะไร มีแต่กรอบวัตถุประสงค์คร่าวๆ เท่านั้น ที่พูดถึงการนำงบประมาณรายจ่ายปกติมาใช้เพียง 857 ล้าน ส่วนที่เหลือบอกแบบง่ายๆ เพียงว่า ให้ไปนำงบฯส่วนที่รองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีมาใช้ ร่วมกับงบฯกรอบอื่นๆ อย่างแผนพัฒน์ฉบับ 12 ก็ยิ่งทำให้สงสัยขึ้นไปอีกว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีหรือ? หรือแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือกรอบงานกรอบเงินที่ยังกลวงๆไม่มีแผนชัด นึกอะไรได้ก็ให้นำไปแปะไว้ตรงนั้น เช่นนั้นหรือ? เอาเฉพาะมุมเรื่องการใช้งบประมาณ ใช้วิธีแบบนี้ ถือว่าดีต่อการเป็นตัวอย่างการใช้เงินของรัฐบาลที่ควรจะเป็นอย่างนั้นหรือ? เหมาะสมต่อกรอบวินัยทางการคลังที่ดี ใช่หรือไม่? เพราะหลังจากนี้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของพรรคต่างๆ ก็คงได้ยกไปเป็นตัวอย่างในการจัดทำงบประมาณบริหารโครงการของตัวเองเช่นเดียวกัน
ลำดับต่อไปคือประเด็นการทำโรดแมปลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี เพื่อเยี่ยมประชาชน ภายใต้โครงการไทยนิยม ถือเป็นเรื่องที่ดีในการรับฟังปัญหาประชาชน แต่พูดตามความเป็นจริง น่าจะทำตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ไม่กี่เดือนก่อนเลือกตั้ง อีกทั้งการจัดงบทั้งส่วนการเดินทางไปแต่ละจังหวัด และงบที่จะดูแลแต่ละจังหวัดตามโครงการไทยนิยม ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ก็มีคำถามเรื่องเวลาอีกเช่นกัน ทั้งในส่วนการเลือกทำช่วงนี้ และการรีบเร่งดำเนินการในระยะเวลาอันสั้น ตามแผนในโรดแมปที่ประกาศออกมาแล้ว เพราะในความเป็นจริงกระบวนการตรวจเยี่ยมจนรับฟังและนำไปสู่กระบวนการกลั่นกรองปัญหา เพื่อหาทางแก้ให้ประชาชน คงต้องใช้เวลาก่อนจะมาสร้างสัญญาประชาคม และการสร้างความรับรู้และปฏิบัติตาม ทั้งหมดไม่น่าเกิดในเวลาอันสั้นตามโรดแมปได้ แต่ถ้าทำเมื่อสามปีที่แล้วถือว่ามากพอ จึงอย่าแปลกใจ ถ้าจะมีพรรคการเมืองเจ้าประจำประชานิยมที่จะรู้ทัน และออกมาตั้งคำถามเชิงเดาทางถึงเป้าหมายแท้จริงว่า หวังผลทางการเมืองหรือไม่? เพราะหากย้อนไปดูรัฐบาลหนึ่งในอดีต ช่วงก่อนเลือกตั้งก็เคยมีโครงการทัวร์นกขมิ้นที่ใช้งบกลางดำเนินการ ทั้งเป็นค่าใช้จ่ายคณะนายกฯ และส่วนหนึ่งมีการอนุมัติแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบนโต๊ะ ครม.โดยใช้งบกลาง โครงการนั้นดำเนินก่อนการเลือกตั้ง แบบเดียวกับโครงการนี้ใช่หรือไม่?
ทั้งนี้ หากรัฐบาลนี้ยืนยันว่า ประชารัฐดีกว่าประชานิยม โครงการไทยนิยมฯที่บอกเป็นของใหม่จริงๆ ไม่ก๊อปใคร ทำจากการศึกษาและรับฟังความต้องการประชาชนผ่านคณะกรรมการแต่ละระดับอย่างที่กล่าวอ้าง จนกลายเป็นโครงการช่วยเหลือรูปแบบที่แตกต่างกันเฉพาะพื้นที่ ส่งผลดีต่อประชาชนระยะยาว ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้นภาคธุรกิจมีความคล่องตัว มีการผลิตและจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งผลเหล่านี้วัดได้ไม่ยาก อีกไม่กี่เดือนก็คงรู้ผล และจะส่งผลต่อเครดิตรัฐบาลหรือบางส่วนของรัฐบาลที่คิดตั้งพรรคการเมืองต่อ ซึ่งอาจถูกเหมารวมกับผลงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ล้มเหลวตลอด 3 ปี เพราะเอาเข้าจริงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชุมชน หรือแก้ปัญหาความขัดแย้งประชาชนไม่อาจใช้ระบบราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าไปสั่งและบัญชาการให้แก้ได้
การแก้ปัญหาให้ประชาชนต้องทำอย่างยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง มิใช่เพียงโรดแมป 6 เดือน หรือพิมพ์เขียวเดียวจากกรุงเทพฯมาแก้ทั้งประเทศ อย่างไรก็ตามการคิดช่วยเหลือ คิดจะรับฟังประชาชน ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องและมาถูกทาง แต่หากคิดถึงการนำงบมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาอย่างไม่เข้าใจประชาชน ภายในระยะเวลาเร่งรีบ ก็คงจะได้แต่แผนใช้เงินอย่างสวยหรู คงจะได้จ่ายเงินจริงอย่างมหาศาลแต่ไม่ได้ผลสำเร็จอย่างที่ต้องการและอาจเป็นภาระของประชาชนผู้เสียภาษีต่อไป
นอกจากนี้คงต้องพูดถึงการใช้งานสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ในสมัยหนึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายการเมืองบางพรรค ทั้งในส่วนการใช้เงินนอกงบประมาณในการบริหารโครงการ และใช้แบงก์รัฐเอื้อประโยชน์ให้บางกลุ่มธุรกิจ โดยทั้งสองแนวทางทำให้แบงก์รัฐบางแห่งเสียหายหนักมาแล้ว ในยุคปัจจุบันเกิดคำถามว่า มีการนำแบงก์รัฐมาดำเนินนโยบายต่างๆ มากมาย เรากำลังมาถูกทางใช่หรือไม่? หรือเรากำลังหลงทางไปอย่างในอดีต
ความหวังของประชาชนต่อรัฐบาลคสช.ในวันแรกจนถึงวันนี้ ยังเป็นเช่นเดิม การที่ประชาชนยอมหลับตาให้รัฐบาลสามารถใช้อำนาจพิเศษ ทั้งมาตรา 44 การออกกฎหมายโดยสภาพิเศษแบบ สนช. ตลอดจนออกคำสั่งและใช้งบประมาณตลอด 3 ปีที่ผ่าน ที่ไร้ฝ่ายค้านตรวจสอบ ความยินยอมพร้อมใจของประชาชนยังเป็นเช่นเดิม แต่ผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาลเป็นอย่างที่ประชาชนต้องการหรือไม่? หรือแม้แต่การออกมาตรการโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำไปตามความต้องการของประชาชนจริงหรือไม่?
“...คนผู้หนึ่งหากคิดทำความเข้าใจคนอีกผู้หนึ่งโดยซึ่งกระจ่างนับว่าไม่ง่ายดายเลยจริงๆ...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี