นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีศาลฎีกามีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ที่ปลดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกจากราชการทหาร ย้อนหลังไปกว่า 23 ปี เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า

เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายอภิสิทธิ์ ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ทบทวนผลการพิจารณาของคณะกรรมการป.ป.ช. ที่เคยยกคำร้อง และระบุว่าการออกคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ออกจากราชการของ พล.อ.อ.สุกำพล เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

โดยขอให้มีการพิจารณากรณีนี้ใหม่ เนื่องจากศาลฎีกาได้พิพากษาแล้วว่าการออกคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และส่อไปในทางไม่สุจริต เป็นการละเมิดสิทธิ์ของนายอภิสิทธิ์ และให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 เรื่องให้ปลดนายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ ลงวันที่ 8 พ.ย.2555 เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับนายอภิสิทธิ์แล้ว จึงขอให้ ป.ป.ช. ทบทวนมติที่ชี้ว่าข้อกล่าวหาที่นายอภิสิทธิ์ เคยยื่นคำร้องไว้ว่าไม่มีมูลกลับมาทบทวนและไต่สวนใหม่ เพื่อพิจารณาให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงต่อไป

ในเรื่องนี้ ให้รอดูกันว่า ป.ป.ช.จะออกมาว่าอย่างไรหรือไม่ แต่ให้เข้าใจให้ตรงกันว่า ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์เคยยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.พิจารณามาครั้งหนึ่งแล้ว ว่า พล.อ.อ.สุกำพล ใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่ถูกยกคำร้อง ครั้นศาลฎีกาตัดสินออกมาชัดเจน ว่าการใช้อำนาจของ พล.อ.อ.สุกำพลนั้น “ส่อว่าทุจริต” ย่อมเป็นเหตุอันชอบธรรม ที่นายอภิสิทธิ์จะส่งตัวแทนไปร้องกับ ป.ป.ช.อีกครั้ง

โดยก่อนหน้านั้น ในวันที่ 16 มกราคม นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ในฐานะทนายความของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยความคืบหน้ากรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 163/2555 ให้ปลด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากราชการทหารว่า ศาลแพ่งได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกากรณี นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล เรื่องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ให้ปลด นายอภิสิทธิ์ ออกจากราชการ

โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล ปลด นายอภิสิทธิ์ ออกจากราชการทหารนั้น นายอภิสิทธิ์ไม่ได้รับราชการทหารและไม่ได้เป็นทหารกองประจำการ อีกทั้งในขณะรับราชการทหาร นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย หรือถูกสั่งพักราชการ การที่ พล.อ.อ.สุกำพล มีคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ ย้อนหลังไปถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2531 นั้น จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.วินัยทหาร พ.ศ.2476 มาตรา 7 การออกคำสั่งปลด นายอภิสิทธิ์ จากราชการที่มีผลย้อนหลังถึง 23 ปีเศษ เป็นการกระทำที่ส่อไปในทางไม่สุจริตและเป็นการละเมิดสิทธิต่อ นายอภิสิทธิ์ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ออกจากราชการ

นายบัณฑิตกล่าวด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ สามารถแนบคำพิพากษาศาลฎีกาไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดีอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับ พล.อ.อ.สุกำพล ได้ หลังจากที่ป.ป.ช.เคยยกคำร้องไปโดยอ้างคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องคดีนี้ ซึ่งขณะนั้นคดียังไม่ถึงที่สุด โดยเชื่อว่าเมื่อยื่นคำร้องไป ป.ป.ช.ต้องส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา

“เมื่อคดีนี้ถึงที่สุดแล้วก็ถือว่าคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ถูกเพิกถอนไปแล้ว ที่ผ่านมาเป็นการออกคำสั่งที่รังแกกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ต่อจากนี้ก็ถือว่านายอภิสิทธิ์พ้นขวากหนามทางการเมืองไปแล้ว” นายบัณฑิต กล่าว

ด่นนายอภิสิทธิ์ ก็กล่าวเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ว่า รู้สึกดีใจที่เรื่องนี้ยุติลงแล้ว และเป็นไปอย่างที่ได้ขอความเป็นธรรมมาตลอด เพราะเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ใช้อำนาจโดยไม่ชอบ

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ต่อจากนี้จะนำคำพิพากษาศาลฎีกามาพิจารณาเพื่อดำเนินการร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.เคยยกคำร้องไปโดยอ้างคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วก็เป็นเหตุที่จะทำให้ ป.ป.ช.หยิบยกขึ้นมาทบทวนใหม่ได้ แต่ต้องรอคำพิพากษาฉบับเต็มเพื่อความสมบูรณ์อีกครั้ง โดยเห็นว่าผู้ที่ใช้อำนาจโดยไม่ชอบต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง

“อยากฝากไปถึงผู้ใช้อำนาจว่า ต้องใช้ด้วยความเป็นธรรมและทำตามกรอบของกฎหมาย อย่าใช้ไปในทางไม่ชอบเพื่อประโยชน์ทางการเมือง หากทำได้ก็จะช่วยให้ระบบการเมืองและระบอบประชาธิปไตยดีขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ต้องยอมรับว่า “ขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้าม ใช้เรื่อง “หนีการเกณฑ์ทหาร” เล่นงานนายอภิสิทธิ์มามาก และย่ามใจถึงขั้นใช้อำนาจรัฐมนตรี ปลดออกจากราชการ หมายให้นายอภิสิทธิ์ไม่สามารถเล่นงานการเมืองได้อีกตลอดชีวิต สุดท้ายความจริงก็ปรากฏแล้ว เหลือแต่ ป.ป.ช.เท่านั้น ที่จะดำเนินการต่อ ฐาน “ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ” กับ พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งเรื่องนี้ต้องรอ ป.ป.ช.ต่อไป ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จึงขอปิดท้ายด้วยลำดับขั้นการเกี่ยวข้องกับราชการทหารและตำแหน่งทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ ซึ่ง “Can ไทเมือง” สรุปเอาไว้ดังนี้ว่า

ปี พ.ศ. 2519 นายอภิสิทธิ์เดินทางไปศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ประเทศอังกฤษ จนจบปริญญาตรี

ปี พ.ศ. 2529

• 04/07/2529 นายอภิสิทธิ์แสดงตนขอรับการบรรจุเป็นทหารกองเกิน เพื่อรอเกณฑ์ทหาร และได้รับใบ สด.9

ปี พ.ศ. 2530

• บัญชีเรียกฯ ปี 2530 มีรายชื่อนายอภิสิทธิ์อยู่ในบัญชีคนพ้นจากฐานะยกเว้นผ่อนผัน แขวงคลองตัน

• นายอภิสิทธิ์ไปสมัครเป็นอาจารย์ รร.จปร. (ไม่ทราบวันที่แน่ชัด แต่น่าจะสมัครก่อนวันที่ 18/03/2530)

• 18/03/2530 รร.จปร. มีหนังสือถึง กรมสารบรรณทหารบก (สบ.ทบ.) ขออนุมัติบรรจุ นายอภิสิทธิ์ เป็นอาจารย์

• 31/03/2530 สบ.ทบ. มีหนังสือถึง รร.จปร. ขอเอกสารเพิ่มเติมคือ หนังสือผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร

• 07/04/2530 นายอภิสิทธิ์ ไม่ไปเข้ารับการเกณฑ์ทหารตามกำหนด

• 07/08/2530 นายอภิสิทธิ์ได้รับการบรรจุเข้าเป็น ข้าราชการพลเรือนกลาโหม ชั้นสัญญาบัตร รร.จปร.

ปี พ.ศ. 2531

• 07/04/2531 นายอภิสิทธิ์ ไม่ไปเข้ารับการตรวจเลือกฯ เป็นครั้งที่ 2

• 08/04/2531 นายอภิสิทธิ์ ขอออกใบแทนใบสำคัญ (สด.9) จากสัสดีเขตพระโขนง แทนฉบับที่สูญหาย

• 26/04/2531 นายอภิสิทธิ์ ได้รับการบรรจุเป็น ว่าที่ร้อยตรี

• 02/06/2531 นายอภิสิทธิ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการ มียศร้อยตรี

• 03/08/2531 มีหลักฐานบันทึกข้อความ ดำเนินการเรื่อง นายอภิสิทธิ์ขอลาออกจากราชการ

• 19/08/2531 นายอภิสิทธิ์ เข้าพิธีสมรสพระราชทาน ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่ประเทศอังกฤษ

• 22/08/2531 นายอภิสิทธิ์ ขอลากิจไปประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 40 วัน ( 22 ส.ค. 2531 ถึง 30 ก.ย. 2531)

• 05/09/2531 รร.จปร. มีหนังสือถึง ผบ. รร.จปร. แจ้งการขอลาออกเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศของนายอภิสิทธิ์

• 04/10/2531 นายอภิสิทธิ์ ขอลากิจต่ออีก 67 วัน (4 ต.ค. 2531 ถึง 9 ธ.ค. 2531)

ปี พ.ศ. 2532

• 18/01/2532 ปรากฏชื่อนายอภิสิทธิ์ อยู่ในบัญชีคนขาดเข้ารับการตรวจเลือก (ต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2536)

• 02/04/2532 ถึงกำหนดที่ นายอภิสิทธิ์ ขอลาออกจากราชการเพื่อศึกษาต่อ ป.โท มีสถานะเป็นนายทหารกองหนุน

• 12/04/2532 กระทรวงกลาโหมมีคำสั่งอนุมัติให้นายอภิสิทธิ์ออกจากราชการได้

ปี พ.ศ. 2533-2534

• นายอภิสิทธิ์ สำเร็จการศึกษา ป.โท กลับมาเป็น อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปี พ.ศ. 2535

• 22/03/2535 นายอภิสิทธิ์ ได้เป็น สส. สมัยแรก เมื่ออายุได้ 27 ปี

• 13/09/2535 นายอภิสิทธิ์ ได้เป็น สส. สมัยที่ 2 และดำรงตำแหน่ง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ปี พ.ศ. 2540

• 14/11/2540 นายอภิสิทธิ์ ได้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ปี พ.ศ. 2542

• เกิดกรณีลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิม รองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ใช้เอกสาร สด.43 ปลอม

• สส.ฝ่ายค้าน พรรคความหวังใหม่ ขุดคุ้ยเรื่องการเข้ารับการเกณฑ์ทหารของ สส. ฝ่ายรัฐบาล ตอบโต้

• 08/03/2542 ผบ.ทบ. มีหนังสือให้ตรวจสอบข้อมูลการตรวจเลือกฯ นายอภิสิทธิ์

สรุปประเด็นทั้งหมด

 สด.9 - มีจริงและถูกต้อง ได้ไปทำใบแทนที่ชำรุดสูญหายแล้ว

 สด.43 - ไม่เคยมีเพราะไม่ได้ไปวันตรวจเลือกและไม่เคยบอกว่ามี

 วันที่สมัครเข้ารับราชการ - สมัครเข้ารับราชการก่อนวันที่ 18/03/2530 ก่อนวันตรวจเลือก

 ใช้สิทธิ์ตามมาตรา 8 สมัครเข้ารับราชการทหารกองประจำการ

ดังนั้น จึงไม่เป็นการ“หนีทหาร” ดังที่มีนายทหารหลายๆ ท่านได้ออกมารับรอง แม้แต่ ผบ.ทบ.สมัยนั้น

จบสิ้นเสียที คดีอภิสิทธิ์หนีทหาร!!