หากจะแบ่งผู้มีบทบาททางการบ้านการเมืองของไทย ณ วันนี้ คงสามารถแบ่งอย่างคร่าวๆ ได้ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ
1.กลุ่มทหารการเมือง
2. กลุ่มพรรคการเมืองอาชีพ
3. กลุ่มภาคประชาชน
สองกลุ่มแรก มุ่งเข้าสู่อำนาจรัฐ คือเพื่อเป็นรัฐบาล เพื่อบริหารประเทศ
กลุ่มทหารการเมือง เข้าสู่อำนาจได้ 2 ช่องทางคือ การใช้กำลังยึดอำนาจ และการตั้งพรรคการเมืองหุ่น หรือหน้าฉาก หรือการรวบรวมพรรคการเมืองเข้าในสังกัด แล้วบัญชาการอยู่เบื้องหลัง โดยแบบที่สองนี้ก็เพื่อการเข้าสู่อำนาจผ่านกระบวนการฟอกขาวทางประชาธิปไตย ว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือในกระบวนการประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ ที่เปิดหนทางให้ฝ่ายทหารที่เป็นข้าราชการประจำมีที่พึ่งในสภา หรือในคณะรัฐบาล
ในขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ก็ต้องลงแข่งขันกันในสนามเลือกตั้งประชาธิปไตย ส่วนเมื่อได้รับเสียงข้างมากแล้ว จะกลับกลายเป็นพรรคเผด็จการรัฐสภาหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนการเมืองภาคประชาชนที่ตั้งกันขึ้นมาเป็นกลุ่ม เป็นองค์กร หรือขบวนการนั้น โดยปกติแล้ว มิได้ประสงค์เข้าสู่สนามการเลือกตั้ง จึงมิได้มุ่งหน้าที่จะครองอำนาจรัฐ แต่ประสงค์ที่จะควบคุม สอดส่องดูแลการใช้อำนาจรัฐของฝ่ายคณะรัฐบาลหนึ่งใดเป็นกาลเฉพาะ และขับเคลื่อนเรียกร้องเรื่องหนึ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ให้ได้เกิดผลอย่างจริงจัง
การเมืองภาคประชาชนจึงเป็นเรื่องของกลุ่มประชาชนพลเมืองที่สนอกสนใจในเรื่องความเป็นไปของบ้านเมือง รู้เรื่อง และรู้เห็นเรื่องการเมือง และต้องการให้การเมืองตอบสนองความต้องการของสังคม และตอบสนองผลประโยชน์ของชาติโดยรวม
การเมืองภาคประชาชนจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอยู่ในประเทศ หรือสังคมที่เปิด กล่าวคือ เป็นสังคมประชาธิปไตยที่สิทธิและหน้าที่ของการรับรู้ เข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร เป็นหัวใจสำคัญของการมีส่วนร่วม เพราะทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจรัฐ หรืออธิปไตย และร่วมกันเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ (เช่น คลื่นความถี่ เขตแดนบนอากาศ และอวกาศ)
เมื่อร่วมกันเป็นเจ้าของ ประชาชนก็สามารถมีบทบาททางการเมืองได้ และฉะนั้น การเมืองภาคประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เป็นเสาหลักหนึ่งของสังคมประชาธิปไตย ซึ่งอย่างไรก็ดี การเมืองภาคประชาชนจะแทบเกิดขึ้นไม่ได้เลยในสังคมเผด็จการ ไม่ว่าจะใช้ชื่อว่าคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตยแบบพรรคเดียว หรือเผด็จการรัฐสภา ก็ตาม เพราะประชาชนต้องรับคำสั่งอย่างเดียว ดังที่ทราบกันดีอยู่
การเมืองภาคประชาชนจึงเป็นความชอบธรรม และจัดได้ว่าเป็นพลังบริสุทธิ์ เพราะมุ่งหวังการใดก็เพื่อส่วนรวม และมิได้มุ่งหวังยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ พลังประชาชนและการเมืองภาคประชาชนจึงเป็นสิ่งที่เคารพกัน และยอมรับกัน โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ยังต้องร่วมกันเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตย
แต่เป็นที่น่าเสียดาย หากผู้นำ หรือผู้มีอำนาจรัฐ ในสังคมใดๆ จะรู้สึกหงุดหงิดกับพลังการเมืองภาคประชาชน โดยมองว่าเป็นตัวน่ารำคาญ (Nuisance) โดยหลงลืมไปว่า ประชาชนเหล่านั้น เขาก็ร่วมเป็นเจ้าของประเทศ เช่นเดียวกับตัวผู้กุมอำนาจรัฐ และเขาก็ต่างอยากให้ความเป็นไปในสังคมนั้นถูกต้องทำนองคลองธรรม และเมื่อจะอยู่กันในสังคมเปิด ก็ควรจะต้องรับฟังกัน และเปิดให้มีการถกเถียง การแตกแยกทางความคิดเห็น หรือความต่างของมุมมอง ซึ่งเป็นวิสัยของมนุษย์ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และใช้ความเป็นประชาธิปไตย ก็คือการหาข้อยุติและทางออกร่วมกันโดยสันติวิธี โดยมีจุดประสงค์ร่วมก็คือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ของสังคม ซึ่งมิใช่เรื่องส่วนตัว ส่วนบุคคล ซึ่งในที่สุด ก็ไม่น่าจะมีเรื่องใดที่จะหาข้อยุติไม่ได้
เมื่อเปิดโอกาส และสนับสนุน ส่งเสริมให้พลังการเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง การทำหน้าที่ตามสาขาอาชีพก็จะเกิดขึ้น เมื่อนั้น ฝ่ายทหารก็ไม่ต้องมาคอยห่วงการเมือง เพราะการเมืองภาคประชาชนจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักทางการเมือง และทำให้ภาคนักการเมืองต้องเคารพ ยำเกรง และเมื่อสังคมไทยทำได้ เราก็จะพ้นจากวัฏจักรติดหล่มทางการเมือง เลือกตั้ง-โกงกิน-รัฐประหาร-เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าสังคมไทยมาอย่างยาวนานได้เสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี