รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะต้อง“มีภาระ” กับการบริหารประเทศต่อไปอีกอย่างน้อยก็เป็นเวลา 10 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ไปจนถึงวันเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2562 ซึ่งเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลนี้ ได้กระทำอย่างเป็นรูปธรรมมากพอสมควรก็คือการปฏิรูปกิจการตำรวจให้เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริงหลังจากรอมายาวนานนับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มาจนถึงรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ที่จริงงาน “ตำรวจ” มันไม่น่าจะวุ่นวายอะไรนักหนาเลยถ้า “นักการเมือง” ไม่เข้ามาใช้ “ตำรวจ”เป็นเครื่องมือทางด้านการเมืองนับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เมื่อ 86 ปีมาแล้วตำรวจไทยมีสถานะเป็น“กองทัพ” ทั้งๆที่ในประเทศที่เขาเจริญแล้วตำรวจของเขาเป็นหน่วยงานของประชาชนและของท้องถิ่นเท่านั้นเอง
ยกตัวอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ที่นักการเมืองและข้าราชการตำรวจไทยเดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี,โทและเอกกันมากมายนั้นได้แบ่งระบบผู้รักษากฎหมายออกไปหลายส่วนแต่ของเขามีกฎหมายรองรับพร้อมสรรพคือตำรวจนครบาลในเมืองใหญ่ที่เรียกว่า City Police ที่ขึ้นตรงต่อนายกเทศมนตรีหรือเมเยอร์ จะเรียกชื่อเป็น police Department of Newyork หรือ Police of Losangleles ตำรวจส่วนนี้มีประมาณ 1 ล้านคนทั่วประเทศ
ส่วนตำรวจภูธรนั้นจะแบ่งเป็นขนาดดังนี้เมืองหรือตำบลเล็กๆ เรียกว่า Sheriff มีหน้าที่รักษากฎหมายถ้าเป็นประเทศไทยคือตำรวจภูธรขึ้นกับนายกเทศมนตรีตำบลหรือเมืองเล็กๆ มีอัตรากำลังมากน้อยตามขนาดของท้องถิ่นหรือเมือง Sheriff อาจจะมีผู้ช่วยมากน้อยตามความจำเป็น จาก Sheriff มาเป็นตำรวจภูธรของศาลที่เรียกว่า Court Marshal มีหน้าที่ควบคุมจับผู้ต้องหาตามหมายศาลไปส่งยังเรือนจำที่เรียกว่า Jail และ Prison ส่วนนี้มีประมาณ 700,000 คน
ส่วนตำรวจภูธรของแต่ละรัฐที่ขึ้นกับผู้ว่าราชการรัฐหรือ State Governer นั้นเรียกว่า Marshals Service บางรัฐก็เรียกว่า State Sheriff และบางรัฐก็ตั้งเป็นตำรวจภูธรที่เรียกว่า Texas Rangers มีกำลัง 162 คน นอกจากหน่วยตำรวจเหล่านี้แล้วกิจการตำรวจของสหรัฐอเมริกายังมีตำรวจส่วนกลางที่เขาทำหน้าที่เฉพาะด้านคือตำรวจของกระทรวงยุติธรรม เช่น
ตำรวจปราบยาเสพติดโดยเฉพาะเหมือน ป.ป.ส.ของตำรวจไทยเรียกว่า DEA หรือDrug Enforcement Administration ก่อตั้งในปี 1973 มีกำลัง 10,784 คนทำหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดโดยตรงเรียกว่า DEA agents 4,890 คน
ส่วนตำรวจสอบสวนกลาง FBI หรือ Federal Bureau of Invertigation ก่อตั้งในปี 1924 มีอัตรากำลังประมาณ 33,800 คน มีตำแหน่งสอบสวนจับกุมเรียกว่า FBI Special Agents อยู่ประมาณ 13,400 คนเป็นหน่วยขึ้นตรงกับกระทรวงยุติธรรม
อีกหน่วยเรียกว่า ATF มีชื่อเต็มๆ ว่าBureau of Alcohol, Tobacco, firearms and explosives เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลปราบปรามผู้ผิดและละเมิดกฎหมายสรรพสามิตของกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกามีกำลังพลประมาณ 4,800 คน มีอำนาจทั่วประเทศดูแลเรื่องอาวุธปืน, วัตถุระเบิด, เครื่องดื่มสุรา, ไวน์, เบียร์และยาสูบทุกประเภทตามกฎหมายเฉพาะ
U.S. Marshals Service หรือ USMS ตั้งมาตั้งแต่ปี 1789 ขึ้นตรงกับกระทรวงยุติธรรมมีกำลังพลที่เรียกว่า U.S. Marshals รวม 94 คน และผู้ช่วยอีก 3,953 คน ทำหน้าที่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศ U.S. Customs and Border Protection ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยสหรัฐอเมริกาหรือโฮมแลนด์มีกำลังพล 64,250 คนก่อตั้งปี 2003 มีหน้าที่จับกุมคนหลบหนีเข้าเมืองการตระเวนชายแดนด้านแคนาดาและเม็กซิโก
U.S. Secret Services หรือ USSS ก่อตั้งในปี 1865 ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยหรือโฮมแลนด์มีกำลังพล 7,000 คน มีหน้าที่ปราบปรามจับกุมความมั่นคงภายในประเทศแตกต่างจาก CIA ที่ทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามในต่างประเทศหน่วยนี้จะสอดส่องการก่อการร้ายในประเทศเป็นพิเศษทุกรัฐ
สุดท้ายคือU.S. Immigration and Customs Enforcement ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยหรือโฮมแลนด์มีกำลังพล 20,000 คน ก่อตั้งปี 2003 ทำหน้าที่ป้องกันปราบปรามคนที่หลบหนีเข้าเมืองและผู้ที่ทำผิดกฎหมายศุลกากรจะเห็นว่าตำรวจของสหรัฐอเมริกาทุกหน่วยจะขึ้นกับกระทรวงการคลัง, กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรมไม่จำต้องมาขึ้นกับประธานาธิบดีแต่อย่างใด
ถ้าหากรัฐบาลจะปฏิรูปกิจการตำรวจผู้นำรัฐบาลคือพลเอกประยุทธ์ก็ต้องเรียกพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ,พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง, นายวิษณุ เครืองาม และพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา มาประชุมปรึกษาหารือกันต่อไป
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี