ที่ผ่านๆ มา มักจะถูกถามด้วยความงงงวยบ่อยๆ กันว่า ทำไมสังคมไทยเรา จึงใช้คำว่า“เล่นการเมือง” สำหรับการจะเข้าไปมีบทบาททางการเมือง ซึ่งครอบคลุมทั้งการสมัครเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐสภา และในระดับสภาท้องถิ่นต่างๆ เพราะทุกคนต่างเข้าใจว่า การอาสาเข้าไปรับผิดชอบต่อสังคมบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องเอาจริงเอาจัง (Serious) ไม่ใช่เรื่องการละเล่น เพื่อความสนุกหรือบันเทิงเป็นแน่
ซึ่งคำตอบว่า ทำไมถึงมีการใช้คำว่า “เล่นการเมือง” เป็นคำกล่าวที่ใช้กันทั่วไป จนกระทั่งบัญญัติเป็นศัพท์สามัญทางวิชาการรัฐศาสตร์ไทย นั่นก็อาจเพราะ คำว่า “เล่น” ที่ว่านั้น ไม่ได้หมายถึงความไม่เอาจริงเอาจัง ความสนุก หรือความบันเทิงตรงๆ อย่างที่เข้าใจกัน หากแต่เป็นการเล่นที่มีความหมาย หรือความนัยแห่งความเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า
โดยการเข้าสู่สนามการเมืองนั้น เป็นงานอาสา เป็นงานสมัครใจ จึงเป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว มิใช่งานอาชีพหลัก หรือถาวรของบุคคลหนึ่งใด เมื่อเข้าไป “เล่น” ก็ต้องมีแพ้มีชนะ และยังมีระยะเวลากำหนด (หรือมีเทอม) และเมื่อจะ “เล่น” ก็ต้องเคารพกติกา และมีจิตใจเป็นนักกีฬา คือรู้แพ้รู้ชนะ มีความเป็นสุภาพบุรุษ หรือสุภาพชน ไม่โกง ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่มีความติดค้าง จบเวลา หรือหมดเวลาแล้วก็จบกันไป
ถ้าว่ากันตามกฎเกณฑ์หลักการแล้ว ถ้านักการเมือง ลงไป “เล่นการเมือง” แล้วเข้าใจชัดเจนว่า มันเป็นการอาสาเข้าไปรับใช้บ้านเมือง การเคารพซึ่งด้วยกฎเกณฑ์กติกา รู้แพ้รู้ชนะ มีน้ำใจนักกีฬา มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา หรือจะทำให้สังคมรังเกียจแต่อย่างใด เพราะเข้าไป “เล่น” ด้วยความถูกต้องและดีงาม และก่อนจะอาสาเข้าไปเล่นนั้นจักต้องมีอาชีพประจำ หรือมีรายได้อื่นที่เพียงพอจะดำรงชีพอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาพึ่งพารายได้ตอบแทนจากการจะมีตำแหน่งเป็น “ผู้แทน” ปวงชนนี้ ซึ่งจะนำพาประเด็นสำคัญยิ่งตามมา นั่นคือ การไม่เข้ามาหาประโยชน์ หรือหาเศษหาเลยจากการเข้ามา“เล่นการเมือง” แต่อย่างใด
ผู้ใดที่เล่นการเมือง ตามแนวทางดังกล่าว ก็จะได้รับการยกย่องจากสังคม ว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ เพราะมีความพร้อมที่จะรับใช้ชาติบ้านเมือง โดยยอมสละตนจากอาชีพหลัก แล้วอาสาเข้ามาทำหน้าที่เพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม
ซึ่งหากนักการเมืองผู้ใดเกิดติดใจ และทึกทักเอาไปว่า จะสร้างความถาวรให้ตนเองกับตำแหน่งทางการเมือง ก็จะกลายเป็นผู้ที่ทำมาหากินกับงานการเมืองที่มันควรจะเป็นเรื่องชั่วคราว จนบางครั้งก็ยอมเป็นลูกสมุนของผู้อุปถัมภ์ ซึ่งในที่สุด ก็จะคิดแค่ผลประโยชน์ตนเองและตอบสนองผู้อุปถัมภ์เท่านั้น นั่นก็จะทำให้ ความศักดิ์สิทธิ์ของการเป็น “ผู้แทน” ก็หมดค่าและหมดไป สังคมก็จะก่นด่า รังเกียจ เพราะนอกจากจะไม่ใช่การเสียสละเพื่อชาติ แล้วยังทำให้ประชาธิปไตยถูกบิดเบือนอีกด้วย
ที่ผ่านมา ผู้เข้ามาเล่นการเมืองแล้วกลายพันธุ์แบบนี้ก็มีให้เห็นมากมาย สังคมไทยก็มักจะเรียกคนเหล่านี้ว่า “กาฝาก” เพราะแอบแฝงเข้ามา “เล่นการเมือง” ก็เลยเกิดศัพท์รัฐศาสตร์การเมืองขึ้นมาใหม่สำหรับ นักการเมืองกาฝาก ว่า “นักเลือกตั้ง” หรือนัยหนึ่ง “โสเภณีการเมือง”
ซึ่งการขยายจำนวนของ นักเลือกตั้ง เหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้สังคมเข้าใจคำว่า “เล่นการเมือง” ไปในทิศทางความหมาย ที่หมายถึงเรื่องเล่นๆ ไม่จริงจัง สนุก และบันเทิง เพราะทำอะไรก็จับต้องสารประโยชน์แก่ประเทศชาติไม่ได้ วันๆ คิดกันแต่เรื่องจะผลาญงบกันอย่างไร เพื่อให้พวกพ้องของตนได้ประโยชน์เข้ากระเป๋า
ขณะนี้สังคมไทยก็ดูหมิ่นเหม่น่ากลัวยิ่งขึ้นเพราะกำลังมีการผสมพันธุ์ และขยายพันธุ์ นักเลือกตั้งกันอย่างโจ่งแจ้ง ชนิดไม่เกรงกลัวบาป ไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น
นักการเมืองที่แท้จริง นั้นจะต้องกล้าป่าวร้องยืนหยัด เพื่อความถูกต้อง และศีลธรรม และประชาชนพลเมืองจะต้องตื่นตัว และสามารถแยกแยะ และให้การสนับสนุนนักการเมืองที่ดี โดยเราคนไทย จะต้องไม่ปล่อยให้มารสังคม โจรการเมือง มือปืนอำนาจไร้คุณธรรม ไร้ศีลธรรมได้มีโอกาสเข้ามาครองเมือง เข้ามา เล่นการเมือง แบบเล่นๆ
และในวันนี้ เมื่อเราได้รู้ความหมาย และวัตถุประสงค์ ของคำว่า “เล่นการเมือง” กันแล้วก็เป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยเราทุกหมู่เหล่าที่จะนำไปเป็นแนวทางในการใช้แยกแยะ“นักเลือกตั้ง” ออกจาก “นักการเมือง” เมื่อแยกแยะได้ ก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร ผู้ใดเป็นนักการเมืองตามอุดมคติ และอุดมการณ์ และผู้ใดเป็นเพียงกาฝากที่เข้ามาหากินกับการเมือง หรือโจรการเมือง แล้วบ้านเมืองประชาธิปไตยก็จะก้าวไกลได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี