เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เป็นเวทีกลางของประชาคมโลก โดยมีวัตถุประสงค์ในการร่วมกันเสริมสร้างสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้า ซึ่งตั้งแต่นั้นมา องค์การสหประชาชาติก็ได้จัดการประชุมประจำปีเรียกว่า การประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ขึ้นทุกปี โดยในปีนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน ไปจนถึงประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม ซึ่งนับเป็นการประชุมสมัยที่ 73
ประธานที่ประชุมในปีนี้เป็นสุภาพสตรีคือ ดร.มาเรีย เฟอร์นันดา เอสปิโนซา การ์เซส (Maria Fernanda Espinosa Garces) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศเอกวาดอร์ ซึ่งก็ดูเป็นความหวัง และเป็นที่ชื่นชมกันว่า เธอจะนำพาการประชุมไปได้ดี และบรรลุเป้าหมายที่ได้ร่วมกันวางไว้ เพราะเธอมีประสบการณ์ทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกมากมาย เธอเป็นที่ปรึกษาประธานรัฐสภา รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีประสานกิจการมรดกแห่งชาติ เป็นนักการทูต คือเป็นเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรของเอกวาดอร์ ประจำองค์การสหประชาชาติ ทั้งที่สำนักงานใหญ่นครนิวยอร์ก และที่สำนักงานรองที่นครเจนีวา เธอเป็นนักกวีและนักเขียนเรื่องสั้นระดับศิลปินแห่งชาติ ส่วนประวัติการศึกษาก็จัดได้ว่ายอดเยี่ยม มีดีกรีทั้งทางด้านภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม สังคมวิทยา โบราณคดี ชาติพันธุ์ศึกษา เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้ว เธอเป็นนักการเมืองที่ยืนหยัดในอุดมการณ์และการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เช่น เมื่อถูกกล่าวหาว่าเล่นพรรคเล่นพวกในเรื่องการโยกย้ายและเลื่อนตำแหน่งนายทหาร เธอก็เอาความจริงมาสู้กัน จนผู้ที่กล่าวหาเธอต้องออกมาขอโทษขอโพยต่อสาธารณะ หรือแม้กระทั่งท่าทีของเธอในกรณียอมรับการลี้ภัยของ นายจูเลียน อาสซานจ์ (Julian Assange) ผู้โด่งดังเรื่องการเปิดเผยข้อมูลรัฐขององค์การสื่อวิกิลีกส์
เมื่อสมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้ประธานที่เก่งกล้าสามารถแล้ว เรื่องที่น่าสนใจต่อไป ก็คือ ในการประชุมปีนี้จะมีหัวข้ออะไรสำคัญๆ ที่ชาวโลกควรจักได้ติดตามและเห็นผล เพราะการตัดสินใจ หรือมติของสหประชาชาตินั้น เกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันของพวกเราชาวโลกทุกคน
ดร. เอสปิโนซา การ์เซส ได้ประกาศว่า ในช่วงการอภิปรายทั่วไป (High Level General Debate) ในระดับผู้นำประเทศซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ไปอีก 9 วันทำงานนั้น จะมีท้องเรื่อง (Theme) ว่าด้วยการร่วมกันทำให้สหประชาชาติยังมีความหมาย ความสำคัญต่อชาวโลก : ความเป็นผู้นำโลก การร่วมและแบ่งปันการรับผิดชอบต่อสังคมต่างๆ ต่างจักได้อยู่กันอย่างสันติสุข เสมอภาค และยั่งยืน (Making the United Nations Relevant to All People : Global Leadership and Shared Responsibilities for Peaceful, Equitable and Sustainable Societies)
ในช่วงเดือนกันยายน จะมีผู้นำโลกไปปรากฏตัวที่สหประชาชาติเพื่อการกล่าวสุนทรพจน์ในการอภิปรายทั่วไปดังกล่าว และในโอกาสที่มีผู้นำโลกมาชุมนุมกันมากมาย ทางสหประชาชาติก็จะจัดให้มีการประชุมสำคัญๆ ข้างเคียงด้วย เช่น เมื่อวันที่ 24 กันยายน สมัชชาใหญ่ก็จะมีการประชุมพิเศษ ว่าด้วยเรื่องสันติภาพโลก เพื่อเป็นเกียรติแก่ นายเนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ และอดีตนักต่อต้านลัทธิเหยียดผิว โดยจะมีการออกแถลงการณ์ การเมืองที่จะเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อเสริมสร้างสันติภาพ
ในวันที่ 26 กันยายน ก็จะมีการประชุมระดับผู้นำในเรื่อง การต่อสู้กับโรควัณโรค และในวันเดียวกันนั้นก็จะมีการจัดวันรำลึกนานาชาติ ว่าด้วยการขจัดอาวุธนิวเคลียร์ให้หมดสิ้นไปจากโลกมนุษย์ (The International Day for the Total Elimination of Nuclear-Weapons) ทั้งนี้สหประชาชาติโดยประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ โดยมีประเทศไทยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการยกร่างอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการห้ามอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงปีก่อน
ในวันที่ 27 กันยายน ก็จะมีการประชุมผู้นำในเรื่อง การป้องกันและการควบคุมโรคที่ไม่ติดต่อ (Non-Communicable Diseases)
ในขณะเดียวกันก็จะมีกิจการคู่ขนานกับการประชุมและการอภิปรายต่างๆ เช่น สัปดาห์เพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Global Goals Weeks 2018) และสัปดาห์นครนิวยอร์ก ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Week NYC 2018) เป็นต้น
ในการไปร่วมในกิจการต่างๆ ของสหประชาชาติในช่วงการประชุมสมัชชาใหญ่ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่บรรดาผู้นำจะไปกล่าวถึงผลสำเร็จของการนำพาประเทศ การจะเผชิญกับปัญหาความท้าทายต่างๆ การมีท่าทีต่อเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่มีผลประโยชน์และผลกระทบร่วมกัน เป็นการแสดงจุดยืน และความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก การโจมตีการเรียกร้องต่อกันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดาด้วย แต่ท้องเรื่องที่ประชุมสมัชชาใหญ่ได้ประกาศไว้คือ สันติภาพและความร่วมมือ ก็เป็นเรื่องที่ผู้นำแต่ละคนจะได้คิด ได้กล่าว ได้ทำ
แต่ไม่ว่าจะมีการเดินทางของผู้นำกี่คนมายังนครนิวยอร์ก เพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในเรื่องสันติสุข และความเสมอภาคก็ตาม หากแต่สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นกับโลกได้ จะต้องเริ่มจากความรับผิดชอบต่อสันติภาพในบ้านของตนก่อนเสมอ เมื่อแต่ละประเทศมีความสงบ ก็จะได้ไม่ส่งออกปัญหาไปนอกบ้าน แล้วยังจะอยู่ในฐานะที่จะร่วมด้วยช่วยกันกับชาวโลกได้
ฉะนั้น ก่อนที่ผู้นำคนใดจะไปปรากฏตัวต่อสหประชาชาติในปีนี้ ก็ขอให้ผู้นำทุกประเทศ ได้พิจารณาจัดบ้านเมืองของตนเองให้สะอาดเรียบร้อยเป็นสำคัญ เมื่อพูดจาแสดงทรรศนะอะไรออกไปบนเวทีโลกแล้ว จะได้ดูน่าเชื่อถือ และชาวโลกเขาจะได้ชื่นชม สมกับเกียรติแห่งความเป็นผู้นำประเทศ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี