คนเราไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องเริ่มต้นพื้นฐานจากความคิด และเมื่อจะคิด ก็ต้องมีหลักคิด มีกรอบความคิด และมีเป้าหมาย เป็นธรรมดา
ซึ่งนโยบาย และมาตรการเศรษฐกิจต่างๆ นานาของรัฐบาลทหาร คสช. ที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ร่วมกับหัวหน้าเหล่าสายอำนาจ 4-5 สาย ต่างก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า บรรดาหลักคิด เป้าหมาย ล้วนมาจาก ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นจอมทัพ พร้อมด้วยพลพรรค เช่น ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์, ดร.อุตตมสาวนายน เป็นต้น โดยแผนและมาตรการดำเนินการนั้น เป็นการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ กับบรรดาลูกหลานของตระกูลธุรกิจยักษ์ใหญ่เชิงผูกขาดของประเทศไทย เพียงไม่กี่ตระกูล
โดยส่วนตัว ผมเองนั้นพอจะเรียกได้ว่ารู้จักกับจอมทัพเศรษฐกิจ และคู่คิดบางคนที่กล่าวมาอยู่บ้าง ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณครองอำนาจ แต่ก็มิได้รู้จักถึงขั้นสนิทชิดเชื้อแบบซี้กัน หลังจากนั้นก็ยังได้ติดตามรับฟังการให้สัมภาษณ์ต่างๆ รวมทั้งการปราศรัยอยู่บ้าง เป็นครั้งเป็นคราว ซึ่งบรรดาคำประกาศต่างๆ ที่สวยงามของจอมทัพเศรษฐกิจ มักจะสะกิดใจ เพราะเต็มไปด้วยความคาดหวังเชิงบวก มีภาพลักษณ์ที่สวยหรู ระคนไปกับศัพท์แสงภาษาอังกฤษเท่ๆ ซึ่งก็มักจะเกี่ยวกับชื่อโครงการอภิมหาโปรเจกท์ สลับกับโครงการนำงบประมาณไปแจกจ่ายคนยากคนจนจำนวน 5-6 ล้านครอบครัว ที่เป็นเสมือนระบบกินทั้งบนกินทั้งล่าง หรือพูดให้เท่ๆ ว่า ใหญ่ก็เอา เล็กก็ไม่ลืมเลือน ประมาณว่า Go Global ไปพร้อมกับโลก แต่ก็ยัง Link to Local ซึ่งโยงกับท้องถิ่นท้องบ้านอยู่
โดยในทางปฏิบัติ ชาวไทยเราก็ได้ยินการดำเนินงานทั้งโครงการ High Speed Train, โครงการ EEC, โครงการ EEZ, โครงการ 4.0 IT, โครงการ Smart City, โครงการสร้างขยายท่าอากาศยานต่างๆ, โครงการประชารัฐ (รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจร่วมทุนกับธุรกิจยักษ์), โครงการเอาใจชาวรากหญ้าตามหมู่บ้านทั่วประเทศต่างๆ เช่น โครงการนิยมไทย ซึ่งเป็นโครงการประชานิยม ที่มุ่งเอาใจ ซื้อใจ และสร้างฐานเสียงทางการเมืองด้วยเงินภาษีราษฎร หรือเงินของพวกเราชาวไทยทุกคน
ซึ่งหากมองในภาพรวมแล้วจะพบว่า ดร.สมคิด และลูกทีมผู้ร่วมดำเนินการ พร้อมด้วยผู้รับฟังที่ดีของผู้นำ คสช. สายทหาร นั้น เลือกที่จะปฏิบัติบนพื้นฐานความคิด ความเชื่อ ที่ว่า เศรษฐกิจของชาติไทยจะดีและสามารถเติบโตได้ จะต้องให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ขยายธุรกิจได้ใหญ่โต ร่ำรวย และมีกำไรมากๆ ก่อน แล้วกำไรที่ล้นส่วนหนึ่งก็จะตกลงมา แล้วซึมลงสู่ธุรกิจระดับล่างต่างๆ และประชาชนจะมีงานทำถ้วนหน้า ทำให้มีรายได้ และคุณภาพชีวิตจะดีขึ้น
เท่ากับว่า นโยบายต่างๆ จึงมุ่งสนับสนุนเศรษฐกิจระดับบนของกลุ่มคนส่วนน้อยเป็นหลักก่อน คู่ขนานไปกับการอัดฉีดเงินลงสู่ประชาชนระดับรากหญ้าผ่านโครงการประชานิยม เพื่อชะลอความรู้สึกไม่ยุติธรรมทางการอุ้มชูกลุ่มทุน
แต่ทั้งนี้ก็อาจจะมีการลืมไปกันว่า หากปล่อยให้กลุ่มทุนใหญ่เกิดการผูกขาดความร่ำรวยแล้ว มันมักจะเป็นความร่ำรวยแบบกระจุกตัว จึงยากที่จะเกิดการแบ่งปันความร่ำรวยสู่ระดับล่าง เป็นไปในลักษณะยักษ์ใหญ่โตเอาโตเอา ในขณะที่ระดับล่างนั้นไม่ได้เติบโตแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อดำเนินนโยบายเช่นนี้ในโลกแห่งความจริง ประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ รวมทั้งพวกธุรกิจขนาดเล็ก ย่อย และกลาง ที่ต่างตกสำรวจทางการสนับสนุน ก็จะถูกบีบให้เดินไปสู่เส้นทางของการเป็นลูกจ้างของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่วงเวียนของการเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือไม่ก็แปรสภาพเป็นกิจการธุรกิจ ที่ตกอยู่ในอาณัติของธุรกิจยักษ์ใหญ่ อยู่ในสายโยงภายใน (Internal supply chain)
และที่แย่มาก และน่ากลัวต่ออนาคตก็คือ ทีมเศรษฐกิจ คสช. คิดและเชื่อว่า การเกษตรของไทยนั้นจะต้องแปรสภาพไปเป็นธุรกิจการเกษตร โดยเกษตรกรอยู่ภายใต้การเป็นลูกจ้างของบริษัทที่ครอบครองพื้นที่เป็นพันเป็นหมื่นไร่ ซึ่งก็คือการทำลายล้างระบบผลิตขนาดเล็กลง แล้วผลักดันให้เกษตรกรเจ้าของที่ดินเปลี่ยนสถานะเป็นแค่แรงงานการเกษตร (Agricultural Labourers) เอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ของเกษตรกรรายย่อยพึ่งตนเอง เป็นเจ้าของที่ดินและอาชีพก็จะหมดไปโดยการที่จะเป็นเกษตรกรอินทรีย์ก็มีน้อย ก็มักจะหันไปพึ่งพาปุ๋ยเคมี พึ่งพายาฆ่าแมลง
รูปการต่างๆ เหล่านี้ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาร่วมจะ 5 ปีแล้ว ก็พอจะกล่าวได้ว่า ทีมเศรษฐกิจ คสช. เชื่อ และยึดมั่นว่า เศรษฐกิจของประเทศจักอยู่ได้ ต้องเป็นเรื่องรัฐ รัฐวิสาหกิจ และธุรกิจครอบครัวยักษ์ใหญ่ ร่วมมือกันเท่านั้น และธุรกิจรายเล็กรายย่อยเป็นแค่ลูกมือ เป็นแค่มนุษย์เงินเดือน ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคการเกษตร
ซึ่งประชาชนทั่วไป ก็อย่าลืมว่า ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง ที่รับผิดชอบการขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ ก็คือคนในตระกูลธุรกิจยักษ์ใหญ่นั่นเอง หากพินิจพิเคราะห์ ก็จะพบว่า ตลอดเวลาการบริหารงานของรัฐบาล คสช. บรรดากลุ่มทุนใหญ่นั้นได้เข้าไปมีอิทธิพลครอบงำวิถีทางทางการเมือง ผ่านทางฝ่ายอำนาจรัฐ (ทหาร/นักการเมือง) ที่มีสถานะคล้ายหุ่นเชิด ที่ทำตัวเป็นกลไกสนองวัตถุประสงค์ทางธุรกิจให้กลุ่มทุนใหญ่เพียงเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องของประชาชน ที่จะต้องคิดวิเคราะห์ เพื่อที่จะเข้าใจความนึกคิดของจอมทัพเศรษฐกิจ และพลพรรค ว่าแท้จริงแล้ว มันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อสังคมไทยจริงหรือไม่ และเส้นทางอนาคตที่ผู้บริหารประเทศ ได้ปูทางเอาไว้ให้กับลูกหลานของพวกเรา ในการใช้ชีวิตอยู่ในวัฏจักรลูกจ้าง หรือเป็นบริษัทเครือข่ายภายใต้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่นั้น เป็นสิ่งที่เราต้องการหรือไม่
ซึ่งหากคำตอบคือ ไม่ใช่ แล้วประชาชนทั่วไปจะเริ่มดำเนินการกันอย่างไรแต่วันนี้ เพื่อที่จะปลดแอกตนเอง และลูกหลานจากการครอบงำทางเศรษฐกิจ และการเมืองของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตชาวไทยในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี