การเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา สร้างความกระจ่างมากขึ้นให้กับเรื่องกรรมการบริหารพรรค ที่ก็ไม่ได้ผิดโผไปมากจากการคาดการณ์ของสื่อ และหน้าตาของพรรคที่คาดกันมาตลอดว่าจะมีผู้บริหารเกี่ยวข้องกับรัฐบาลปัจจุบันก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นความจริง และการเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐก็ทำให้เชื่อได้ว่า การเลือกตั้งกำลังใกล้เข้ามาถึงแล้ว เพราะที่ผ่านมาเชื่อกันว่า ตัวชี้วัดหนึ่งว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ ให้ดูความพร้อมของพรรคประชารัฐว่า พร้อมลงเลือกตั้งแล้วหรือยัง?
พรรคพลังประชารัฐได้ประกาศเปิดตัวพรรคพร้อมด้วยการประกาศอุดมการณ์พรรคอีก 7 ข้อ ประกอบด้วย 1.ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชน บ่มเพาะพลเมืองที่ตื่นรู้มุ่งเน้นการพัฒนาประชาธิปไตยวิถีไทย 3.น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมกันเป็นกลุ่มอย่างมีพลังสร้างความเข้มแข็งจากฐานรากอย่างยั่งยืน ชูประเทศสู่ประชาคมโลกอย่างสมศักดิ์ศรี 4.ก้าวข้ามความขัดแย้งและสมานฉันท์ 5.สร้างสังคมที่เป็นธรรม ยึดนิติรัฐ นิติธรรม 6.ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสที่เป็นจริง ขจัดความยากจน สร้างความมั่นคงในสังคม 7.สร้างสังคมที่เกื้อกูลแบ่งปัน เติมเต็มศักยภาพ และโอกาสของผู้คน โดยอุดมการณ์ทั้ง 7 ข้อ ของพรรคนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่มีอุดมการณ์ เพื่อสังคม และประชาชน แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่กำลังท้าทาย หลักการกับความเป็นจริง
สำหรับอุดมการณ์ พรรคพลังประชารัฐ โดยเนื้อหาก็ไม่ต่างจากพรรคอื่น ที่น่าสนใจคือ อุดมการณ์ ข้อที่ 5 สร้างสังคมที่เป็นธรรม ยึดนิติรัฐ นิติธรรม และ6.ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสที่เป็นจริง ขจัดความยากจน สร้างความมั่นคงในสังคม ซึ่งทั้งสองข้อดูจะขัดแย้งกับ
ข้อเท็จจริงบางประการ และกำลังสั่นคลอนเสาหลักของพรรคที่ประกอบด้วย 4 รัฐมนตรี และแกนนำระดับสั่งการที่เหนือกว่ารัฐมนตรีทั้งสี่คนที่เป็นคีย์แมนหลัก ทั้ง 5 คนถือว่า เป็นผู้กุมกลไกการบริหารเศรษฐกิจของประเทศตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา โดยใช้การบริหารเศรษฐกิจแบบรัฐราชการ ซึ่งการบริหารนโยบายดังกล่าว มี รมต. 4 คน และคีย์แมน 1 คนหลัก ซึ่งเปรียบเป็นแขนขา และสมอง โดยมีฝ่ายปฏิบัติการ คือหน่วยงานราชการ
ซึ่งผลที่ได้จากการบริหารเศรษฐกิจที่รัฐบาลบอกว่าดีนั้น หรือตลอดจนที่พยายามมีการโปรโมทว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้นในช่วงของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แม้กระทั่งจากการรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์กได้กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้นเห็นได้จากเงินบาทที่แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม 12 ประเทศเอเชีย และเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเม็กซิโก ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ Emerging market ความแข็งแกร่งของสกุลเงินบาทไทย จะยังต่อเนื่องต่อไปถึงไตรมาสสุดท้ายของปี จะมีเงินไหลเข้าจากนักท่องเที่ยว และเงินทุนกว่า 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ตลาดหุ้นเติบโตได้ดี
ซึ่งก็อาจจะจริงหากดูที่ตัวเลข GDP ที่เพิ่มสูงขึ้น หรือตัวเลขบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 52% ในปี 2558-2560 ตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 4.5% ตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.2% ตัวเลขการส่งออกขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง 12.3% ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 7.5% และราคาสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้น 4.5% โทรคมนาคมขยายตัว 11.6% แม้จะมีตัวเลขการเติบโตที่ดีในหลายดัชนีชี้วัด แต่คำถามคือ นี่คือตัวเลขที่สะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประชาชนทั้งประเทศ หรือเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่
เพราะเห็นได้จากภาระหนี้สินต่อรายได้ของเกษตรกรเทียบกับในยุคก่อนหน้าพบว่าจากปี 2556-2560 เรามีภาระหนี้สินต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยเกษตรกรที่เป็นเจ้าของที่ดินมีเพิ่มจาก 5.5 เท่า เป็น 7.8 เท่า ของรายได้/เดือน เกษตรกรที่เป็นผู้เช่าที่ดินเพิ่มจาก 6.8 เท่า เป็น 8.8 เท่า ของรายได้/เดือน แรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มจาก 4.5 เท่า เป็น 4.7 เท่า ของรายได้/เดือน และภาระค่าใช้จ่ายต่อรายได้ของเกษตรกรระหว่างปี’56-60 เกษตรกรที่เป็นเจ้าของที่ดินเพิ่มจาก 72.1% เป็น 77.1% เกษตรกรที่เป็นผู้เช่าที่ดินเพิ่มจาก 67.0% เป็น 74.3% แรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มจาก 82.4% เป็น 86.5% ถ้าบอกว่าทั้งหมดนี้คือผลงาน เจ้าภาพก็คือการบริหารของ 4 รมต. และ 1 คีย์แมน ที่สุดท้ายก็กลายไปเป็นผู้บริหารหลักของพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นที่ออกมาประกาศอุดมการณ์ว่าจะลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ขจัดความยากจน และเสริมสร้างความมั่นคงให้สังคม ดูจะขัดแย้งกันกับผลงานที่ได้ทำมาจากตัวเลขที่กล่าวในข้างต้นหรือไม่หากเลือกพรรคนี้จะได้คณะทำงานด้านเศรษฐกิจชุดเดิมหรือไม่? และสุดท้ายคนที่ได้รับประโยชน์จะเป็นใคร หากจะมีชัดๆก็คงผู้ประกอบการรายใหญ่คงจะถูกใจ แต่ประชาชนระดับกลางถึงล่างจะเป็นอย่างไร
ข้อสงสัยต่ออุดมการณ์ถัดมาอีกกลุ่มหนึ่งคืออุดมการณ์ข้อ 2 พรรค เป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชน บ่มเพาะพลเมืองที่ตื่นรู้มุ่งเน้นการพัฒนาประชาธิปไตยวิถีไทย และข้อ 4 ก้าวข้ามความขัดแย้งและสมานฉันท์ แต่การเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐพบว่ามีการเชื้อเชิญกลุ่มคน จากการเมืองกลุ่มเดิม 2 กลุ่ม ซึ่งไม่รู้จะเรียกว่า ความสมานฉันท์ ทางการเมืองหรือไม่? ถึงได้รวมเอากลุ่มที่ขัดแย้งไว้ด้วยกันได้ โดยซีกหนึ่ง ได้มีการทำก่อนหน้านี้แล้ว ภายใต้ชื่อกลุ่มสามมิตร นั่นคือการตั้งโต๊ะเจรจา กับอดีตสส.เหนือ และอีสานหรือไม่ ที่ส่วนใหญ่มาจากพรรคเพื่อไทย อีกส่วนหนึ่งคือการดูดอดีต สส.ของฝั่ง กปปส. ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตอนแรกนึกว่าจะไปอยู่พรรค รปช. แต่สุดท้ายไหลมารวมอยู่ที่นี่ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งมากในการเมือง ในปี’53 และปี’57 และในเรื่องการมุ่งเป็นสถาบันบ่มเพาะประชาธิปไตยในเรื่องนี้จะเป็นได้หรือไม่ ในเมื่อกรรมการบริหารพรรคหลายคน ก็ยังนั่งกินตำแหน่งในรัฐบาลนี้ แม้จะมีการประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้พูดถึงการลาออกจากตำแหน่งอื่นๆหรือไม่? โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการ EEC ที่จะมี
หน้าที่ต่อไปหลังการเลือกตั้งด้วย แม้ว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ที่บังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง แต่ก็เป็นเรื่องของการแสดงสปิริตในทางการเมือง ตลอดจนเรื่องที่ว่า จะขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่?
การประกาศรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรค นอกจากบรรดา สส. และผู้สมัครเก่าที่มาจากพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ มีอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจคือคนจากพลังชล หลังจากที่ได้เข้าร่วมรัฐบาลในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกฯ แต่กลับมาโผล่ในคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ อย่างอิทธิพล คุณปลื้ม ซึ่งแน่ชัดแล้วว่า พรรคพลังชลก็ได้เข้าร่วมกับพลังประชารัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยก่อนหน้านี้มีการมอบหมายให้ นายสนธยา คุณปลื้ม พี่ชายนายอิทธิพล ในฐานะที่ปรึกษานายกฯไปติดตามการทำงานของ EEC และเมกะโปรเจกท์ต่างๆ ในโครงการ EEC? ที่มีการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่ในแผนงานการขับเคลื่อนมหาศาล เฉพาะเมืองพัทยาอย่างเดียวก็ได้รับงบจาก EEC ไปไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท ก่อนจะตั้งสนธยา ให้กลับไปดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา ก่อนการเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐไม่นาน มีการตั้งคำถามว่า กำลังสร้างความได้เปรียบทางการเมืองในเชิงตอบแทนกันหรือไม่? นอกจากนั้นยังมีการดึงประธานสภาอุตสาหกรรม ภาคตะวันออก มาเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถือว่าเป็นการดึงกลุ่มคนที่มีความเกี่ยวข้องในเรื่องใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะ EEC ที่มีงบลงทุนกว่า 1 ล้านล้าน กลับมารวมตัวกันอยู่ในพรรคพลังประชารัฐที่ถูกวิจารณ์ว่าอยู่ใต้เงาของรัฐบาลคสช.ใช่หรือไม่?
การเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐ และเปิดเผยคณะกรรมการบริหารพรรคจนเรียบร้อยแล้วกำลังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลเองว่า จะมีการสืบทอดอำนาจต่อไปหรือไม่? เพราะกรรมการบริหารส่วนใหญ่ก็ยังสวมหมวกหลายใบ ทั้งในฐานะคนในรัฐบาล ผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะทำงาน EEC ซึ่งในสัปดาห์นี้มีการเร่งให้อนุมัติงบประมาณในโครงการใหญ่ในบอร์ด EEC ใช่หรือไม่? เรื่องนี้หากรัฐบาล คสช. ต้องการให้เกิดความชัดเจนว่าไม่ได้มีการเอียงข้าง หรือสร้างความได้เปรียบแก่พรรคใดพรรคหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็ควรจัดการเรื่องคนในรัฐบาลให้เรียบร้อยก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง และในฐานะที่รัฐบาลเองจะเป็นกรรมการกลางในการเลือกตั้งครั้งหน้า เรื่องนี้ก็ส่งผลสำคัญต่อความเชื่อใจ และความน่าเชื่อถือของผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย...
หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ซักฟอกวันละสิบครั้งยังไม่สะอาดหมดจด
โกวเล้ง จากเรื่องวีรบุรุษสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี