เมื่อวานนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรีมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวนายพานทองแท้ ชินวัตร จำเลยคดีสมคบฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินกู้ธนาคารกรุงไทย โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
1.สำหรับนายพานทองแท้ ชินวัตร ถูกสั่งฟ้องเฉพาะกรณีเช็ค10 ล้านบาท
ส่วนกรณีเช็ค 26 ล้านบาทนั้น อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายพานทองแท้ และไม่ฟ้องนางเกศินี จิปิภพ
ซึ่งในส่วนนี้ อัยการก็จะต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นกลับไปให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งกับอัยการหรือไม่ อย่างไร (แต่สำหรับนางเกศินีนั้น ความเห็นสั่งไม่ฟ้องก็เป็นไปตามความเห็นดั้งเดิมของพนักงานสอบสวนตั้งแต่ต้น)
ส่วนนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน อดีตภริยาของนายทักษิณ กับนายวันชัย หงษ์เหิน ผู้เป็นสามีนั้น อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงิน (กรณีเช็ค 26 ล้านบาท)
2.เมื่อคดีไปถึงศาลแล้ว สำหรับคดีฟอกเงินของนายพานทองแท้ (กรณีเช็ค 10 ล้านบาท) ก็หมดปัญหาเรื่องอายุความ เพราะถ้าจำเลยหลบหนี ก็จะต้องหนีตลอดชีวิต
ส่วนกรณีเช็ค 26 ล้านบาท ต้องรอดูท่าทีอธิบดีดีเอสไอ ว่าจะมีความเห็นโต้แย้งอย่างไร? แล้วจะนำคดีไปสู่ชั้นศาลได้หรือไม่ เมื่อใด ภายในอายุความหรือไม่ เพราะกรณีเงิน 26 ล้านบาทนั้น จะหมดอายุความ ธ.ค.2561 นี้
3.คดีนี้ พานทองแท้และพวก ยังปฏิเสธตลอดข้อหา
ที่มาคดีเริ่มมาหลังจากคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย ซึ่งศาลฎีกาฯ พิพากษาไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2558
คดีนั้น ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 หนีคดี ถูกออกหมายจับ ล่าสุด คดีเดินหน้าต่อ
ในสำนวนคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย ทักษิณถูกกล่าวหาว่าเป็น “บิ๊กบอส” ผู้สั่งการให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยอนุมัติสินเชื่อตามที่เอกชนเสนอ ทั้งที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่อาจอนุมัติสินเชื่อให้ละเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ เมื่อเอกชนได้รับสินเชื่อแล้ว ก็ไม่นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์
คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ในคดีนั้น เผยให้เห็นการกระทำอุกอาจ มีการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ พยานซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อธนาคารกรุงไทยยืนยันว่า ก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อให้เอกชน ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐจำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยานและบอกว่า บิ๊กบอสหรือซูเปอร์บอส ได้ดูดีแล้วไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อครั้งนี้ โดยที่โครงการกฤษดาซิตี้ 4,000 เป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่ในการเสนอขอสินเชื่อกลับมีเอกสารประกอบเพียง 2 แผ่น และคณะกรรมการบริหารของธนาคารกรุงไทยก็ใช้เวลาพิจารณาเพียง 15 นาทีเท่านั้น
คำพิพากษาในคดีนั้น ระบุว่า เงินกู้บางส่วน ถูกโอนให้บุคคลในกลุ่มจำเลย และโอนให้บุคคลภายนอกอีกหลายคน ซึ่งในคำวินิจฉัยของนายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตรองประธานศาลฎีกา และเจ้าของสำนวนคดีเงินกู้กรุงไทย ระบุถึงเส้นทางการเงินที่เกี่ยวพันกับนายพานทองแท้ ชินวัตร และพวกด้วย
ทักษิณ เป็นพ่อ
พานทองแท้ เป็นลูกแท้ๆ
ผู้พ่อถูกข้อหาทุจริตเงินกู้กรุงไทย เมื่อพบว่า มีเงินจากผู้ได้รับผลประโยชน์จากเงินกู้ที่ทุจริตนั้น ไหลไปเข้ากระเป๋าของลูกชาย ย่อมอาจถูกสงสัยได้ว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ตอบแทนกันหรือไม่? สมควรถูกสอบสวนว่ามีมูลหนี้อื่นต่อกัน หรือไม่?
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมนายทองแท้ถูกสอบสวนในข้อหาฟอกเงิน และเมื่อไม่สามารถชี้แจงที่มาที่ไปของเงินให้พนักงานสอบสวนรับฟังได้ว่าเป็นเงินที่มาอย่างสุจริต ไม่เกี่ยวข้องกับเงินทุจริตเงินกู้กรุงไทย ก็จึงได้มีความเห็นฟ้อง และส่งสำนวนให้อัยการ จนมีความเห็นสั่งฟ้อง และคดีมาถึงชั้นศาลในปัจจุบัน
4.น่าสงสัยว่า เมื่อคดีฟอกเงินไปถึงศาลอาญาคดีทุจริตฯ แล้วกรณีนี้ปปง. จะดำเนินการอย่างไรกับเงินที่เชื่อได้ว่าอาจเกี่ยวข้องหรือได้มาจากการกระทำมูลฐานความผิด ?
มีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน แล้วดำเนินการอย่างไรต่อไป?
จะมีการอายัดเงิน หรือเรียกเงินคืนกลับเป็นของแผ่นดิน หรือคืนกลับให้ผู้เสียหาย อย่างไร?
5.ในส่วนของเงิน 10 ล้านบาท ที่อัยการสั่งฟ้องนี้ ถ้ากลับไปพิจารณาคำวินิจฉัยของนายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตรองประธานศาลฎีกา และเจ้าของสำนวนคดีเงินกู้กรุงไทย ระบุไว้ว่า
“...จำเลยที่ 25 (นายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร) ได้สั่งจ่ายเช็คไทยธนาคารจำนวน 10 ล้านบาท เข้าบัญชีของนายพานทองแท้ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบางพลัดนายพานทองแท้ ชี้แจงเป็นหนังสือต่อ คตส. ว่า เป็นเงินที่ตนร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 26 เพื่อทำธุรกิจ แต่ไม่ได้ชี้แจงว่าเป็นธุรกิจใด หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน จึงได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เป็นการร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 26 ทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศมาขาย แต่ติดขัดเรื่องขั้นตอนการนำเข้าต้องใช้เวลานาน และสีรถยนต์ไม่ถูกใจ จึงยกเลิกการทำธุรกิจ
เห็นว่า หากเป็นเงินร่วมลงทุนทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศตามที่อ้าง ก็น่าจะชี้แจงไปตั้งแต่ครั้งแรก และนายพานทองแท้เป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ ข้ออ้างว่าร่วมลงทุนเพียง 10 ล้านบาท ไม่น่าเชื่อถือ
คำชี้แจงทั้งสองกรณีขัดต่อเหตุผล ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง (กรณีเช็ค 26 ล้าน และเช็ค 10 ล้าน)
ข้อเท็จจริงยังได้ความจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีกว่า มีการนำเงินสินเชื่อที่จำเลยที่ 19 (บริษัท โกลเด้นฯ เครือกฤษดามหานคร) ได้รับจากธนาคารผู้เสียหายไปซื้อหุ้นจองของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.2 แสนหุ้น และจำเลยที่ 26 ได้นำหุ้นดังกล่าวมาเสนอขายแก่พนักงานของบริษัท ฮาวคัม จำกัด ที่มีนายพานทองแท้เป็นประธานกรรมการ และเสนอขายให้พนักงานบริษัท มาสเตอร์โฟน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ฮาวคัม จำกัด เป็นที่ทราบกันดีว่า ราคาหุ้นจองของบริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ ที่เสนอขายจะต่ำกว่าราคาที่จะนำเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของนักลงทุน ราคาหุ้นจองจึงเป็นที่ต้องการอย่างมากของนักลงทุน เพราะถือไว้เพียงไม่กี่วันก็สามารถนำไปขายทำกำไรในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ แต่จำเลยที่ 26 กลับนำหุ้นจองดังกล่าวมาเสนอขายแก่พนักงานของบริษัทของนายพานทองแท้ โดยไม่เก็บไว้ทำกำไรเอง
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 26 ในการเสนอขายหุ้นจองดังกล่าว ส่อไปในทำนองต่างตอบแทนจากการที่ธนาคารผู้เสียหายอนุมัติสินเชื่อให้กลุ่มของจำเลยที่ 20 ตามฟ้อง…”
6.ส่วนคดีนี้ นายพานทองแท้และพวก ยังสามารถต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยนำพยานหลักฐานมาหักล้างพยานหลักฐานของทางฝ่ายอัยการ
ต่อสู้ให้ศาลเห็นว่า ตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายทักษิณและพวก
ต่อสู้ให้ศาลเห็นว่าเงิน 10 ล้านบาทนี้ ตนได้มาโดยสุจริตอย่างไร?
ไม่สามารถจะอ้างได้ว่า แค่เงิน 10 ล้านบาท จำนวนเล็กน้อย หรืออ้างว่าทำไมคนอื่นๆ บ้าง (เพราะคนอื่นๆ ไม่ใช่ลูกของจำเลยที่ 1 ในคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย)
ต้องพิสูจน์ความสุจริตของตนในชั้นศาล เช่นเดียวกับพลเมืองไทยคนอื่นๆ ที่มีคดีขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่มีข้อยกเว้น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี