ขณะนี้ สังคมกำลังติดตามว่ารัฐบาล คสช.จะปลดล็อกกัญชาให้สามารถใช้เพื่อการแพทย์ได้จริงเมื่อไหร่?
ทั้งๆ ที่ มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่จะมีวิสัยทัศน์และภาวะผู้นำเพียงพอไหม?
หรือจะรอให้พรรคการเมืองเข้ามาหาเสียงเอาคะแนนนิยม พร้อมๆ กับถล่มว่ารัฐบาลเผด็จการเป็นตัวขวางผู้ป่วยหลายล้านคนที่รอคอยจะใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้านอันมีส่วนประกอบของกัญชาในการบำบัดรักษาและบรรเทาอาการ
1. สารในกัญชา ที่เรียกว่า THC ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อยากอาหาร
ส่วนสาร CBD หรือน้ำมันกัญชา ก็ล้วนแต่มีสรรพคุณในทางที่เกิดสภาวะอันพึงประสงค์ต่อชีวิตของผู้ป่วยในหลายๆ อาการ สามารถอ้างอิงผลงานวิจัย ผลงานวิชาการได้เป็นตั้งๆ เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์
ที่สำคัญ ปัจจุบัน หลายประเทศ เขาทำขายกันจนถึงขนาดว่ามีบริษัทเข้าตลาดหุ้นแล้วด้วยซ้ำ
2. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. พึงพิจารณาโดยด่วน
โดยเฉพาะในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีหน้าที่ในการอำนวยการ ติดตาม ผลักดันการเดินหน้าประเทศตามแผนยุทธศาตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ
การทำให้กัญชาเพื่อการแพทย์ถูกกฎหมายนั้น เรียกได้ว่า ตอบโจทย์ และสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านสาธารณสุขอย่างแท้จริง
อยู่ในส่วนที่ว่าด้วย “การปฏิรูปการแพทย์แผนไทยและระบบยาสมุนไพรแห่งชาติ” ระบุว่า “ปัจจุบัน ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยยังขาดการดูแลคุ้มครองอย่างจริงจังทำให้ถูกฉกฉวยและละเมิดสิทธิ์จากการหายาใหม่ของต่างชาติ จึงมีความจำเป็นที่จะส่งเสริมและพัฒนาให้การแพทย์แผนไทยมีศักยภาพและมาตรฐาน ให้บริการคู่ขนานกับการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยมีข้อเสนอ คือ
(1) ปฏิรูประบบบริการการแพทย์แผนไทยให้มีมาตรฐานคู่ขนานกับการแพทย์แผนปัจจุบัน
(2) ปฏิรูปการคุ้มครองภูมิปัญญาไทยเพื่อให้มรดกไทยเป็นมรดกโลก
(3) ปฏิรูปอุตสาหกรรมสมุนไพรและการตลาด
(4) ปฏิรูประบบการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้จากภูมิปัญญาไทยและยาจากสมุนไพร
(5) ปฏิรูปโครงสร้างและกลไกการบริหารจัดการด้านการแพทย์แผนไทย
(6) ปฏิรูปการจัดการศึกษาด้านการแพทย์แผนไทย
(7) ปฏิรูปการพัฒนากำลังคน
(8) ปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวกับยาจากสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
โดยออกร่างพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. ...และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...”
ในแผนการปฏิรูปได้กำหนดประเด็นการปฏิรูปที่ 5 : การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยเพื่อเศรษฐกิจ
ระบุเป้าหมายว่า ให้ประเทศไทยมีความมั่งคั่งจากผลิตภัณฑ์สมุนไพร การแพทย์แผนไทย มีความมั่นคงในระบบบริการสุขภาพ และพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน
กรอบระยะเวลาในการดำเนินการ พ.ศ.2561 – 2565
กำหนดตัวชี้วัดว่า ภายในปี 2562 ประเทศไทยต้องมีฐานข้อมูล (Big Data) สมุนไพรที่มีประสิทธิภาพ
เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพรมีรายได้เพิ่มขึ้น
สารสกัดสมุนไพรสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศเพิ่มขึ้น
วัตถุดิบ สารสกัด และผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศมูลค่าเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ฯลฯ
รัฐบาล คสช. และผู้รับผิดชอบดูแลแผนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ควรพิจารณาว่า หากสามารถดำเนินการให้สามารถผลิต พัฒนา และใช้กัญชาในทางการแพทย์ ในฐานะเป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่ง จะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ผู้เกี่ยวข้องได้มากแค่ไหน? เกิดผลบวกต่อการบรรลุเป้าหมายเป็นรูปธรรมแค่ไหน?
และที่สำคัญที่สุด คือ จะช่วยชีวิตผู้ป่วยอีกกี่ล้านคน ให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นับประเมินมูลค่ามิได้
3. น่าเสียดาย... พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เคยเปิดเผยถึงแนวทางการปลดล็อกการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ว่า ได้ให้ป.ป.ส.จัดทำข้อมูลในบทสรุปเพิ่มเติม เพื่อชี้ชัดในประเด็นเหตุผลความจำเป็นของการปลดล็อกกัญชาที่ใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์ ทั้งวิธีการปลูก สายพันธุ์ที่เหมาะสมสูตรยาแต่ละโรค เทคโนโลยีการสกัดสารเพื่อปรุงยา ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การนำเข้า ส่งออก และครอบครองกัญชา มาตรการควบคุมทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง รวมถึงการนำไปใช้กับผู้ป่วยที่สมัครใจ แพทย์ที่สมัครใจภายใต้การควบคุมตลอดระยะการรักษาโรค
กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 12 ต.ค. ถ้ามีเหตุผลสมควร ก็อาจเสนอให้ใช้กฎหมายพิเศษ
แต่จนบัดนี้ ยังไม่ปรากฏผลงานความคืบหน้าเป็นรูปธรรมอะไรเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี