เมื่อวันที่ 2-4 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากประธานรัฐสภาติมอร์ตะวันออกให้ไปร่วมประชุมระหว่างประเทศภายใต้หัวข้อ “การเฉลิมฉลองครบรอบ 21 ปี ของแถลงการณ์สากล ว่าด้วยประชาธิปไตย (Celebration of the 21st Anniversary of the Universal Declaration on Democracy) ซึ่งได้รับการรับรองโดยที่ประชุมสหภาพรัฐสภาร่วมของโลกในการประชุมครั้งที่ 93 ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์เมื่อวันที่ 11-16 กันยายน 1997 (พ.ศ. 2540) โดยผมได้รับเกียรติให้ร่วมอภิปรายภายใต้หัวข้อ“Global Trends: rising populism, deepening inequality, disenfranchised citizens questioningthe future of democratic principles and institutions” : แนวโน้มโลก, การเริ่มเติบโตของลัทธิประชานิยม, การเหลื่อมล้ำที่ขยายกว้างมากขึ้น,พลเมืองที่ผิดหวังท้อแท้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของหลักการและสถาบันประชาธิปไตย
โดยนอกจากผมแล้ว ยังมีผู้ร่วมอภิปรายในหัวข้อนี้อีก 3 ท่าน ได้แก่
1. นาย Roy Trivedy (รอย ทริเวดี) ผู้แทนประสานงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศติมอร์ตะวันออก
2. นาย Mari Alkatiri (มารี อัลคาทิรี) อดีตนักต่อสู้เพื่อเอกราช และอดีตนายกรัฐมนตรีติมอร์ตะวันออก
3. นาย José Ramos Horta (โฮเซ รามอส ฮอร์ต้า) อดีตนักต่อสู้เพื่อเอกราช อดีตประธานาธิบดีคนแรก และผู้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ
การอภิปรายนี้กล่าวโดยสรุปได้ว่า การบริหารราชการหรือการใช้อำนาจรัฐ (อำนาจของประชาชน) ที่ล้มเหลว เป็นสาเหตุให้บ้านเมืองไร้เสถียรภาพ และเกื้อหนุนให้เกิดการขยายตัวของความเหลื่อมล้ำในสังคมยิ่งขึ้น ซึ่งประเด็นปัญหาของสังคมประชาธิปไตยนั้นมิได้อยู่ที่ประชาชนพลเมือง หากแต่มาจากพฤติกรรมของฝ่ายนักการเมือง และพรรค ที่เข้ามาหาผลประโยชน์เข้าตน และพรรคพวก แทนที่จะมุ่งทำการเพื่อประเทศชาติดังที่อาสา และปวารณาตนกันไว้ ส่วนการเมืองเมื่อมีปัญหาขัดแย้งจากอุดมการณ์ก็ดี จากความเห็นต่างก็ดี ทางออกนั้นมีอยู่หนทางเดียวคือ การพูดจากัน (Dialogue) และต้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในทุกกรณี โดยยืนบนหลักออมชอม ถ้อยทีถ้อยอาศัย เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง สังคมนั้นจึงจะสามารถประคับประคองสังคมประชาธิปไตยไปได้ตลอดรอดฝั่ง ทั้งนี้ ประชาชนพลเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยในสายเลือด ดังเห็นได้ว่าไม่ว่าที่ไหนการปรึกษาหารือในระดับหมู่บ้าน ชุมชนเล็กใหญ่ ก็มีอยู่ทั่วไป ถ้าฝ่ายการเมืองระดับชาติคิดถึงประชาชนพลเมือง สังคมไปได้ ประชาธิปไตยก็ไปรอด
โดยส่วนตัว ผมเองได้มีโอกาสไปเยือนติมอร์ตะวันออกครั้งแรก ก็เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ไปครั้งนี้ก็อดประทับใจในเสถียรภาพของสังคมเขาในกรอบประชาธิปไตยไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาถือว่าเพิ่งเป็นประเทศแรกเกิด (ค.ศ. 1995 หรือ พ.ศ. 2538) ซึ่งก่อนหน้าก็เป็นรัฐอาณานิคมของโปรตุเกสมาร่วม 300 ปี ก่อนจะถูกอินโดนีเซียเข้ายึดครอง ในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2528)ซึ่งเป็นเอกราชสั้นๆ หลังจากที่โปรตุเกสประกาศให้อิสรภาพต่อติมอร์ตะวันออกเพียง 9 วัน
อย่างไรก็ดี การยึดครองของอินโดนีเซียในครั้งนั้นเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น เพราะเต็มไปด้วยการสู้รบ ฆ่าแกงอย่างโหดร้ายทารุณ จนกระทั่งได้รับแรงกดดันจากประชาคมโลกอย่างหนัก ทำให้อินโดนีเซียต้องถอยออกไปและองค์การสหประชาชาติก็ได้เข้ามาช่วยดำเนินการบริหารจัดการบ้านเมือง โดยประเทศไทยก็ได้เข้าไปร่วมในกองกำลังรักษาสันติภาพครั้งนั้น จนเป็นที่ชื่นชมจากประชาคมโลกจน ณ วันนี้
ล่าสุด ติมอร์ตะวันออกและออสเตรเลีย เพิ่งจะเจรจาตกลงกันได้ ในเรื่องข้อพิพาทเขตแดนทางทะเล และการพัฒนาร่วมพื้นที่ทางทะเล เพื่อขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในการนี้ติมอร์ตะวันออกจะได้พื้นที่ทางทะเลเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะอำนวยประโยชน์ด้านประมง นอกเหนือจากพลังงานเชื้อเพลิงทางธรรมชาติดังกล่าว
ติมอร์ตะวันออกได้วางระบบที่น่าสนใจในการบริหารจัดการ รายได้มากมายจากก๊าสและน้ำมัน โดยจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการรายได้ โดยมีผู้ว่าการธนาคารชาติเป็นประธาน และฝ่ายรัฐบาลจะเข้ามาช่วยหารือฝ่ายงบประมาณและฝ่ายตรวจรายได้แผ่นดินในการใช้จ่าย กับโครงการพัฒนาต่างๆ ด้วย
ติมอร์ตะวันออกมีประชากรแค่หนึ่งล้านกว่าคนเท่านั้น ซึ่งรายได้จากก๊าซและน้ำมันธรรมชาตินั้น มีลู่ทางที่จะทำให้เศรษฐกิจติมอร์ตะวันออกถีบตัวขึ้นมาแบบ บรูไน และประเทศน้ำมันในตะวันออกกลางได้
แต่ทั้งหมดนี้ ก็ยังขึ้นอยู่กับการร่วมกันประคับประคองระบอบประชาธิปไตยของติมอร์ตะวันออกเอง และที่สำคัญยิ่งก็คือ การดำเนินการบริหารประเทศแบบมีธรรมาภิบาลอย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องป้องกัน และขจัดการทุจริตใดๆ ออกไป รวมทั้งประชาชนจะต้องไม่หลงระเริงไปกับลัทธิประชานิยม และอำนาจผูกขาดนิยม
ณ วันนี้ ก็ขอชื่นชมความอยู่เย็นเป็นสุขอย่างแท้จริงของชาวติมอร์ตะวันออก และขอให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นสุดท้าย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวน 11 ประเทศ (10 ใน 11 เป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน) ประเทศที่ใหญ่ที่สุดคือ อินโดนีเซีย (270 ล้านคน) และประเทศที่เล็กที่สุดคือ ติมอร์ตะวันออก (1 ล้านคนเศษ) โดยทั้งยักษ์ใหญ่ และยักษ์เล็กทั้งคู่ได้ก้าวไปเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าแล้ว โดยอีก 9 ประเทศที่เหลือนั้นยังย่ำเท้าอยู่กับที่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากประชาคมอาเซียนที่รวมตัวกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในเวทีโลก จะไม่สามารถนำพาตนเองไปสู่การมีสังคมเสรีประชาธิปไตย ภายใต้การบริหารที่มีธรรมาภิบาลได้ ซึ่งจะทำให้สุ้มเสียงของอาเซียนในประชาคมโลกไม่มีน้ำหนักเท่าที่ควร
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี