“เด็กคืออนาคตของชาติ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะหลังๆ ที่มีเด็กเกิดใหม่น้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้น “เด็กทุกคนที่เกิดมาจะต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเพื่อให้มีคุณภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เพื่อชดเชยด้านปริมาณที่ขาดหายไป แต่ในความเป็นจริง “ปัญหาเด็กเจ็บ - ตายจากอุบัติเหตุ” ยังเป็นสิ่งที่สังคมไทยพบเจออยู่เนืองๆ ด้วยสาเหตุต่างๆ นานา ไม่ว่าจะตัวเด็กเองหรือจากความบกพร่องของผู้ใหญ่ที่ดูแล
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา) รศ.นพ.อดิศักดิ์ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว จัดแถลงข่าวเรื่อง “การตายของเด็กจากอุบัติเหตุในช่วงปิดเทอมและ 10 ทักษะความปลอดภัยที่เด็ก ป.1 – ป.3 ต้องมี” โดยเปิดเผยว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมามีเด็กอายุ 1 - 14 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 2,265 คน คิดเป็นร้อยละ 47 หรือ “เกือบครึ่ง” ของเด็กที่เสียชีวิตทั้งหมด แบ่งเป็นชาย 1,543 คน หญิง 722 คน
สาเหตุการเสียชีวิตพบว่า “จมน้ำ” ยังคงนำมาเป็นอันดับ 1 จำนวน 740 คน คิดเป็นร้อยละ 33 แม้จะน้อยลงกว่าในอดีตที่จะมีเด็กจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 1,600 คน แต่ก็ยังถือว่าเป็นจำนวนที่สูง สถานที่จมน้ำเสียชีวิตส่วนใหญ่มักเป็นแหล่งน้ำในละแวกบ้านหรือชุมชนที่เด็กอยู่ และเสียชีวิตไม่ห่างฝั่งมากนัก รองลงมา “อุบัติเหตุบนท้องถนน” จำนวน700 คน คิดเป็นร้อยละ 31
โดยสำหรับอุบัติเหตุ หากแบ่งเป็นกลุ่มพบว่า “อันดับ 1เป็นผู้ขับขี่ และอันดับ 2 เป็นผู้โดยสาร” เช่น อายุไม่ถึง 15 ปีแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ หรือใช้มอเตอร์ไซค์ (ทั้งในฐานะคนขี่และคนซ้อนท้าย) แต่ไม่สวมหมวกกันน็อก หรือเด็กเล็กนั่งรถยนต์ที่ไม่มีที่นั่งสำหรับเด็กเล็ก (อายุ 2 - 6 ปี) ซึ่งการใช้เข็มขัดนิรภัยของผู้ใหญ่แทนอาจไม่เหมาะสม หรือนั่งรถยนต์แต่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย นอกจากนี้ “พลัดตกกระแทก” ขณะเด็กๆ เล่นก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญเช่นกัน
รายงานผลการศึกษานี้ระบุถึง “ช่วงวัยที่มีความเสี่ยง” อาทิ เด็ก 1 ขวบ มีอัตราการเสียชีวิตสูง จากนั้นเมื่อ 2 ขวบจะลดลง ต่อมาช่วง 3 - 5 ขวบมีการเพิ่มเล็กน้อย จากนั้นสถิติจะเพิ่มบ้างลดบ้างเล็กร้อยสลับกันไปถึงอายุ 11 ปี กระทั่ง “เมื่ออายุ 12 - 14 ปี หรือเริ่มก้าวผ่านวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น” จำนวนการเสียชีวิตจะพุ่งสูงอย่างก้าวกระโดด เช่น สถิติของปี 2560 มีเด็กอายุ 11 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลักหนึ่งร้อยคนต้นๆ พออายุ 12 ปี เพิ่มเป็นหลักหนึ่งร้อยปลายๆ จากนั้นอายุ 13 ปี พุ่งขึ้นเป็นกว่าสองร้อยคน และอายุ 14 ปี ทะยานสู่สี่ร้อยกว่าคน
“ตายก่อน 5 - 6 ขวบ ส่วนใหญ่เป็นการตายในบ้าน หน้าบ้านหลังบ้าน พ่อแม่เผลอเราชั่วขณะ แต่พอ 5 - 6 ขวบขึ้นไปเป็นการตายนอกบ้าน ในละแวกชุมชน คือพ่อแม่ปล่อยไปเล่นข้างนอกแล้ว ฉะนั้นอันที่ 1 ในวัย 5 - 6 ขวบขึ้นไปเขาต้องมีทักษะความปลอดภัยของเขา ไม่เหมือนเด็กเล็กที่พ่อแม่จะไปสอนให้เขาระวังภัย อันที่ 2 คือเด็กเขาไปเล่นตรงจุดไหนของชุมชน เราต้องมีระบบตรวจสอบดูแลกันเองในชุมชน
เด็กกลุ่มนี้ก็จะลดการตายลง
แล้วเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กสอนง่าย จนถึงประมาณ 11 - 12ขวบเขาเข้าสู่วัยรุ่น เราจะเห็นการตายในวัยรุ่นไม่ลดมีแต่เพิ่มขึ้น 13 - 14 ขวบตายเยอะเลยตอนนี้ ปัญหาของเด็ก 13 - 14 ขวบมากขึ้น ไปแก้โดยการไปสอนตอนนั้นมันไม่ทัน มันต้องสอนตอน 6 - 12 ขวบ ส่วนใหญ่วัยพวกนี้ตายช่วงปิดเทอม มีนาคม เมษายน พฤษภาคม แล้วก็มาตุลาคม ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปีชัดเจน” คุณหมออดิศักดิ์ กล่าว
ผลการศึกษานี้ยังแนะนำว่า “ถึงเวลาแล้วที่ต้องสอนเด็กๆ ให้มีทักษะความปลอดภัย 10 อย่าง” ประกอบด้วย 1.ทักษะความปลอดภัยทางน้ำ (สำหรับเด็กอายุ 6 - 7 ปี) เช่น ลอยตัวในน้ำได้ 3 นาที เคลื่อนตัวในน้ำได้ 15 เมตร ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการตะโกน โยน ยื่น การรู้จักใช้เสื้อชูชีพเมื่อต้องเดินทางทางน้ำ 2.การใช้รถใช้ถนน (สำหรับเด็กอายุ 6 - 7 ปี) เช่น การเดินเท้า ขี่จักรยาน โดยสารรถยนต์และจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย
3.ทักษะการเล่นอย่างปลอดภัย (สำหรับเด็กอายุ 6 - 7 ปี) ทั้งการเล่นของเล่น การเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น และการเล่นกีฬา 4.การปฏิบัติตนเมื่อพบคนแปลกหน้า (สำหรับเด็กอายุ 4 - 6 ปี) สามารถปฏิเสธความใกล้ชิดและการสัมผัสที่ไม่เหมาะสมได้ 5.ทักษะความปลอดภัยในบ้าน (สำหรับเด็กอายุ 4 - 6 ปี) เช่น ระมัดระวังอันตรายจากของมีคม ไฟฟ้า ความร้อน สารพิษ ที่สูง ที่ลื่น ช่องรู เส้นสาย สัตว์เลี้ยง ซึ่งสิ่งเหล่านี้พบได้ในบ้านของเด็กเอง
6.การใช้อุปกรณ์ไอที (สำหรับเด็กอายุ 6 - 7 ปี) ต้องยอมรับว่าเด็กยุคใหม่ใช้ชีวิตกับหน้าจอต่างๆ เสียมาก จึงต้องมีทักษะรู้เท่าทัน เช่น การใช้นานเกินไปจนเสียสุขภาพ ปัญหาการถูกรังแกและการรังแกผู้อื่นบนโลกออนไลน์ การเข้ามาของยาเสพติด เรื่องเพศและความรุนแรงต่างๆ โดยใช้ช่องทางออนไลน์ที่อาจทำให้พฤติกรรมเบี่ยงเบน รวมถึงการถูกหลอกลวงทางการค้า
7. ทักษะการปฐมพยาบาล (สำหรับเด็กอายุ 7 - 8 ปี)แม้การทำซีพีอาร์ (CPR - การกระตุ้นหัวใจและการหายใจกรณีผู้ป่วยหมดสติหัวใจหยุดเต้น) อย่างน้อยเด็กที่ทำได้ต้องอายุ 9 ขวบขึ้นไป แต่ก็สามารถสอนให้รู้ในเบื้องต้น รวมถึงมีทักษะอื่นๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้ เช่น การทำแผล การเรียกหน่วยฉุกเฉิน รวมถึงสามารถร่วมฝึกซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติของชุมชนได้
8.ทักษะการกู้ชีพเบื้องต้น (สำหรับเด็กอายุ 9 - 10 ปี)นอกจากทักษะที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้วยังต้องเรียนรู้ความรับผิดชอบต่อสังคมโดยการมีส่วนร่วมป้องกันความเสี่ยงในชุมชน 9.การข้ามถนนด้วยตนเอง (สำหรับเด็กอายุ 9 - 10 ปี) การข้ามถนนเป็นทักษะที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกระดับ เพราะต้องกะระยะ กะความเร็วรถที่แล่นไป - มา และ 10.ทักษะการอยู่บ้านโดยลำพัง (สำหรับเด็กอายุ 10 - 12 ปี) เป็นการอยู่ข้ามคืนโดยที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม “ทักษะ 10 ประการนี้จะมีได้ เด็กต้องมีพัฒนาการด้าน EF (Executive Functions - ทักษะของสมองส่วนหน้าว่าด้วยการคิด วิเคราะห์ และเลือกตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม) เสียก่อน” แบ่งเป็น 3 ประการคือ 1.ความจำ (Working Memory) มีความรู้เก็บไว้ในสมอง 2.การวิเคราะห์และเลือกอย่างเหมาะสม (Cognitive Flexibility) สามารถนำข้อมูลหลายชุด เช่น ความสนุกกับความเสี่ยง มาประเมินเพื่อเลือกตัดสินใจได้ และ 3.การยับยั้งชั่งใจ (Inhibitary Control) หรือการมีสมาธิ เช่น สามารถทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปเล่น
คุณหมออดิศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า ขณะนี้ทางสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยในเด็ก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังทำโครงการ “ก่อน 10 ปีต้องมี 10 อย่าง” โดยหวังจะให้ทักษะทั้ง 10 ประการนี้ขยายไปตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งต้องการผู้สนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ อีกมาก
“ที่นี่แนวหน้า” ก็ขอฝากไปยังบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ อีกแรง..ช่วยมีนโยบายสนับสนุนเรื่องนี้หากมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ เพื่อลดการสูญเสียอนาคตของชาติด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี