เหลือเวลาอีกเพียง 3 เดือนเศษ ประเทศไทยก็จะเข้าสู่การเลือกตั้ง หลังจากประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาเป็นเวลากว่า 4 ปี ซึ่งในช่วงนี้รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันผลงานการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนรวมทั้งนำพาประเทศสู่การปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีโดยเร็ว
ช่วงนี้จึงมีการเร่งรัดผลักดันออกกฎหมายจำนวนมากเพราะถือเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาลก่อนจะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติประกาศว่าจะไม่รับร่างกฎหมายใหม่เข้าสู่การพิจารณา ยกเว้นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น สนช.ยุคปัจจุบันรับร่างพระราชบัญญัติมาแล้ว 397 ฉบับและเห็นสมควรประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว 306 ฉบับ ดังนั้นทุกส่วนราชการจึงต้องเร่งผลักดันกฎหมายให้ผ่านคณะรัฐมนตรีเพื่อเข้าสู่ สนช.โดยเร็วที่สุดเพราะทราบดีว่าร่างกฎหมายเหล่านี้สามารถผ่านได้โดยง่ายเนื่องจากปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลโดยฝ่ายค้าน
รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ และตัวนายกรัฐมนตรีจึงตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยการเร่งรีบผลักดันผ่านกฎหมายในคณะรัฐมนตรีของทุกหน่วยงานโดยอ้างว่าทุกอย่างดำเนินการตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญและดำเนินการตามมาตรา 77 อย่างเรียบร้อย แต่ก็ปรากฏเป็นข่าวถึงร่างกฎหมายที่มีปัญหาก่อนหรือหลังการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี เช่น ร่างพ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ที่ประชาชนวิจารณ์อย่างหนัก ร่าง พ.ร.บ ไซเบอร์ที่หลายภาคส่วนมีความกังวลและลงชื่อคัดค้านกว่าสามแสนคน หรือ ร่างพ.ร.บ.ยา ที่ถูกคัดค้านหลายประเด็นจนต้องถอนเรื่องกลับไป รวมทั้งร่างพ.ร.บ. เก็บเงินสมทบจากบุหรี่เข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่อาจขัดกฎหมายวินัยการเงินการคลังและกระทบชาวไร่ยาสูบจำนวนมาก
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจึงต้องเข้ามาช่วยกลั่นกรองร่างกฎหมายเหล่านี้ โดยพิจารณาถึงผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ความเดือนร้อนจากผลของกฎหมายตลอดจนผลต่อการยอมรับและเชื่อมั่นในรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีและผลกระทบทางการเมืองเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งผลสัมฤทธิ์และเป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และที่สำคัญคือเสริมสร้างภาพลักษณ์ผู้นำประเทศ
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเองก็ต้องต้องเข้ามากลั่นกรองเรื่องให้รอบคอบรับฟังความเห็นส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวมถึงการรักษามาตรฐานในกระบวนการออกกฎหมายในทุกขั้นตอนและตรวจสอบรายละเอียดในเชิงเทคนิคถึงการขัดแย้งระหว่างส่วนราชการ หรือการขัดกันของกฎหมายจากส่วนราชการต่างๆ อย่างถี่ถ้วน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาควรมีบทบาทในเชิงรุกในการตรวจสอบกฎหมายที่กำลังไหลเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีว่าไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือ
กฎหมายอื่นๆ เพื่อทำให้เกิดความรอบคอบ รัดกุม และเป็นสถาบันที่ปรึกษากฎหมายของรัฐเพื่อให้เป็นหลักประกันว่าการใช้อำนาจทางปกครองจะเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งรัฐสภาได้ตราขึ้นตามความประสงค์ของประชาชนในสังคม และเพื่อให้เป็นหลักประกันว่าอำนาจทางปกครองจะไม่ตกเป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ หรือให้อำนาจจนเกินขอบเขต
เพราะหากกฎหมายผ่านการเห็นชอบคณะรัฐมนตรี แล้วเราทราบดีว่าก็สามารถผ่านความเห็นชอบของสนช.ได้ในที่สุด แต่หากเกิดปัญหากับร่างกฎหมายนั้นแล้วผู้รับผิดชอบก็คือนายกรัฐมนตรี ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าร่างกฎหมายในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินโดยส่วนรวมไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่มีปัญหาการขัดกันในข้อกฎหมาย ไม่สร้างผลกระทบอันไม่สมควร และช่วยแก้ไขมากกว่าซ้ำเติมปัญหาให้กับประชาชนเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการคณะรัฐมนตรีคงต้องรับภาระอันสำคัญนี้ไว้เพื่อประเทศชาติและประชาชนมากกว่าเพื่อผลในการเลือกตั้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี