ที่หมายปลายทางของชาวพุทธคือการบรรลุมรรคผลนิพพาน คือการเข้าถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ความดับทุกข์ และนิพพาน ไม่ใช่สวรรค์วิมานดังที่บางสำนักกำลังอวดอ้างเร่ขายกันอยู่
การจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานหรือความดับสนิทแห่งทุกข์ในพระพุทธศาสนานั้น พระบรมศาสดาทรงบอกหนทางไว้ชัดเจนแล้ว คือมรรคอันมีองค์แปด ซึ่งเป็นหนทางเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ เพื่อความบริสุทธิ์และนิพพาน โดยมีสัมมาสติและสัมมาสมาธิเป็นองค์สำคัญ ที่จะนำพามวลมนุษย์ออกจากทุกข์
การทำสมาธิก็คือการเจริญมรรคอันมีองค์แปด โดยเฉพาะองค์สำคัญที่สุดคือการเจริญสติและเจริญสมาธิ เพื่อไปสู่การเจริญปัญญา และหลุดพ้นออกจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ดังนั้นเมื่อจะดับทุกข์ เมื่อจะถึงมรรคผลนิพพานก็ต้องทำสมาธิ ก็ต้องเจริญสัมมาสติและสัมมาสมาธิเพื่อเจริญปัญญาในที่สุด
อะไรเล่าที่เรียกว่าเจริญสติ หรือเจริญสัมมาสติ ในข้อนี้อาจจะพูดกันได้หลายแบบหลายอย่าง หรืออาจจะสอนกันได้หลายประการตามแต่ที่สำนักไหนจะถนัด แม่ที่พระบรมศาสดาตรัสสอนเองก็ทรงบัญญัติแบบแผนวิธีไว้ถึง 36 แบบ เพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับอัชฌาสัยของแต่ละบุคคลซึ่งแตกต่างกันไป
แต่ทว่าทั้ง 36 แบบนั้นจะมีเส้นทางเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น คือ การเจริญสติ หรือเจริญสัมมาสติซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าคือการพิจารณาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรม ทั้งหมดนี้คือการเจริญสัมมาสติ มาดแม้นไม่มีการเจริญสัมมาสติแล้วก็ไม่มีทางเข้าถึงซึ่งการเจริญสัมมาสมาธิได้ นี่คือพระพุทธวจน
เมื่อเจริญสัมมาสติดังกล่าวแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสสอนถึงการเจริญสัมมาสมาธิ ซึ่งตรัสชัดเจนไม่มีความสับสนสงสัยใดๆ ที่จะตีความให้เป็นอย่างอื่นไปได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนสัมมาสมาธิว่าคือการเจริญรูปฌานทั้งสี่ ตั้งแต่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ตรัสยืนยันว่านี่คือสัมมาสมาธิ ดังที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตร ดังนั้นมาดแม้นไม่มีการเจริญสัมมาสมาธิ ก็ไม่มีทางที่จะเจริญปัญญาได้
การเจริญสัมมาสมาธินั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแบบแผนวิธีไว้เป็น 4 ขั้นตอน ซึ่งมีปกติที่พึงปฏิบัติไปตามขั้นตามตอนเหล่านั้น เช่นเดียวกับการก้าวบันไดขึ้นสู่ที่สูง เมื่อก้าวขึ้นไปทีละก้าวแล้วก็ย่อมถึงที่หมายปลายทางได้ การปฏิบัติในการเจริญสมาธิไปตามขั้นตอนที่ทรงบัญญัติไว้ในที่สุดก็จะถึงที่หมายปลายทางได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรับรองว่า ในการเจริญสมาธิดังกล่าวนี้แหละคือเส้นทางสายเอกที่จะถึงซึ่งความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ ถึงซึ่งความดับ ความหลุดพ้นและนิพพาน
ทรงยืนยันว่าเมื่อเจริญสมาธิอย่างนี้แล้ว ในชั่วระยะเวลา 7 ปี หรือ 7 เดือน หรือ 7 วัน หรือสั้นกว่านั้น ก็สามารถเข้าถึงซึ่งความหลุดพ้นได้ ทรงยืนยันเช่นนี้หลายครั้ง และในหลายที่ ซึ่งสามารถสอบทานตรงกันว่าเป็นพระพุทธวจนแท้ที่ทรงรับรองผลของการเจริญสมาธิตามที่ตรัสสอนนั้น
การเจริญสัมมาสมาธิที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนโดยตรงนั้น สามารถศึกษาค้นคว้าได้นำพระสูตรสามพระสูตร คือมหาสติปัฏฐานสูตร กายคตาสติสูตร และอานาปานสติสูตร ซึ่งทั้งสามพระสูตรนี้สอดคล้องต้องกันทั้งหมด และเพียงพอในการเจริญมรรคอันมีองค์แปด เพียงพอต่อการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ และเจริญปัญญา เพื่อถึงซึ่งวิชชาและวิมุตในที่สุดได้
การเจริญสมาธินี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้สี่ขั้นตอนใหญ่ คือ การกำหนดสติในการตามเห็นกายในการตามเห็นเวทนา ในการตามเห็นจิต และในการตามเห็นธรรม หรือที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน รวมเป็นสี่ขั้นใหญ่
และในแต่ละขั้นใหญ่นั้นก็ทรงอรรถาธิบายจำแนกเป็นรายละเอียดออกเป็นอีกสี่ขั้นย่อย ซึ่งเป็นระบบอย่างยิ่ง เป็นขั้นเป็นตอนอย่างยิ่ง เป็นก้าวขั้นบันไดที่ชัดเจนอย่างยิ่ง และสามารถฝึกฝนปฏิบัติได้ไม่ยากไม่ลำบาก
ในขั้นตอนใหญ่ทั้งสี่ขั้นตอนนั้น แม้แต่ละขั้นใหญ่จะแบ่งแยกออกเป็นสี่ขั้นย่อย แต่ก็ทรงกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการเจริญสมาธิแต่ละขั้นไว้อย่างชัดเจนเป็นสี่ประการเช่นเดียวกัน
ขั้นแรกก็คือการทำให้การปรุงแต่งกายสงบรำงับ ขั้นที่สองคือการทำให้การปรุงแต่งจิตหรือเวทนาสงบรำงับ ขั้นที่สามคือการทำให้จิตตั้งมั่นบริสุทธิ์มีพลังเป็นอุเบกขา มีความสว่างไสว มีความแคล่วคล่อง มีพลังแรงกล้าที่จะทำหน้าที่การงานของจิตได้ นั่นคือการก้าวเข้าสู่ขั้นที่สี่ คือการพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือการเห็นพระไตรลักษณ์ เห็นความเป็นจริงตามที่เป็นจริงว่าสรรพสิ่งไม่เป็นตัวตน มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปทั้งสิ้น จิตก็จะถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ และสลัดออกจากความติดยึดผูกพันทั้งหลายของกิเลสและอาสวะทั้งหลาย
ณ เวลานั้น จิตก็จะรู้เองว่าได้หลุดพ้นแล้ว ดังที่ได้ตรัสอาการแห่งการหลุดพ้นไว้ว่า วิราคา วิมุจจะติ วิมุตตัสมิง วิมุตตะมิติ ซึ่งแปลว่าเมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็จะมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี