วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ธ.ค.ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปเที่ยวงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์” บรรยากาศในงานที่จัดขึ้น ณ พระลานพระราชวังดุสิต ห้อมล้อมไปด้วยหมู่มวลดอกไม้นานาพรรณ และความงดงามของศิลปะที่สร้างแบบจำลอง ทั้งแบบจำลองพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ แบบจำลองเรือพระที่นั่ง และรูปแบบอาคารบ้านเรือน ที่ไล่เรียงจากต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จวบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของสายน้ำ และความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนผ่านพระราชกรณียกิจด้านการบริหารจัดการน้ำ และวิถีชีวิตแบบไทยในอดีต
ความพิเศษปีนี้ อยู่ที่สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร เป็นผู้จำลองและจัดสร้าง เรือพระราชพิธีทั้ง 4 ลำ ในขนาดครึ่งของลำจริงไว้อย่างประณีตงดงามนอกจากจำลองเรือพระที่นั่ง ยังจำลองแม่น้ำ ลำคลอง สะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเรือสำเภาบรรทุกสินค้า เรือ สะพาน แม่น้ำแหล่งน้ำ ลำธาร ที่จำลองมาแสดงไว้ในงานล้วนสัมพันธ์ ผูกพันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ วัฒนธรรม ประเพณี ตลอดถึงการปฏิรูป การค้าเพื่อพัฒนาชาติไทย อาทิ เรือสำเภาจำลองเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ ๓ ผู้ทรงปรีชาสามารถในด้านการค้าขาย ซึ่งได้ทรงสร้างเรือสำเภาสยามลำแรก นำสินค้าไปค้าขายกับต่างประเทศ ทำให้ประเทศมั่งคั่งมีทรัพย์สินเข้าท้องพระคลัง เงินถุงแดงซึ่งเป็นพระคลังข้างที่ได้เป็นมรดกนำมาใช้ไถ่ถอนประเทศไทย จากการกรรโชกทรัพย์ของต่างชาติในรัชกาลต่อๆ มา
จำลองสะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดพัฒนาการค้าและคมนาคม สะพานพุทธฯเป็นสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกที่มีกลไกเปิด-ปิด ให้เรือขนาดใหญ่แล่นผ่านได้ เริ่มก่อสร้างในรัชกาลที่ ๖ แล้วเสร็จเปิดใช้งานได้ในรัชกาลที่ ๗ และพิเศษสุดที่เข้ากับมโนทัศน์ของงานคือจำลองเรือพระที่นั่งทั้ง ๔ ลำ ที่บูรพกษัตริย์ได้ทรงสร้างขึ้น ใช้ในพระราชกรณีกิจต่างๆ ที่ผูกพันกับสายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ ตามประวัติเคร่าๆ ดังนี้
๑ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ในหนังสือตำนานเรือรบไทยพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงกล่าวไว้ว่า เรือศรีสุพรรณหงส์สร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตามจดหมายเหตุเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๐ มีหมายรับสั่งให้จัดซ่อม “เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์”เป็นเรือทรงพระบรมธาตุที่ได้มาจากเวียงจันทน์ ในจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 เรียกชื่อเรือนี้ว่า “เรือศรีสุพรรณหงส์” เรือศรีสุพรรณหงส์ได้ชำรุดทรุดโทรมเรื่อยมา และได้รับการซ่อมแซมมาหลายครั้ง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ลำปัจจุบัน เป็นเรือพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ต่อขึ้นใหม่เพราะเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ลำเดิมผุพังเกินที่จะซ่อมได้ แต่มาเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปลี่ยนชื่อเป็นเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ มีพลตรีพระยาราชสงคราม(กร หงสกุล) เป็นนายช่าง ประกอบพิธีลงน้ำ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔
๒ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ ขนาดยาว ๒๖ เมตร กว้าง ๑.๘๐ เมตร เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ เป็นเรือพระที่นั่งกึ่งประเภทเรือรูปสัตว์ หนึ่งในเรือพระราชพิธี ในกระบวนพยุหยาตราชลมารค จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาส พระราชพิธีกาญจนาภิเษก แห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๙ โดย กองทัพเรือ ร่วมกับ กรมศิลปากร ได้นำ โขนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ที่สร้างขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๓และ รัชกาลที่ ๔ มาเป็นต้นแบบ โดยกองทัพเรือ สร้างในส่วนที่เป็นโครงสร้างเรือ พาย และคัดฉาก ส่วนกรมศิลปากร ดำเนินการในงานที่เกี่ยวกับ ศิลปกรรมของเรือทั้งหมด
๓ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ขนาดยาว ๒๔ เมตร กว้าง ๑.๕๐ เมตร เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเป็นเรือพระที่นั่งบัลลังก์ในกระบวนพยุหยาตราชลมารค สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลำปัจจุบันมีการสร้างใหม่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ลำเรือภายนอกทาสีเขียว ท้องเรือภายในทาสีแดง ยาว ๔๒.๙๕ เมตร กว้าง ๒.๙๕ เมตร ลึก ๐.๗๖ เมตร กินน้ำลึก ๐.๓๑ เมตร โขนเรือเป็น “พญาอนันตนาคราช” หรือนาค ๗ เศียร โดยปกติจะใช้เป็นเรือพระที่นั่งรอง หรือเรือเชิญผ้าพระกฐิน หรือประดิษฐานบุษบกสำหรับพระพุทธรูปสำคัญ
๔ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือพระที่นั่งรอง ในกระบวนพยุหยาตราชลมารค ลักษณะเด่นคือมีโขนเรือเชิดเรียว ไม่ได้สร้างเป็นรูปสัตว์ในตำนาน แต่จำหลักและปิดทองเป็นรูปพญานาคจำนวนมาก จึงได้ชื่อว่า อเนกชาติภุชงค์ (อเนก หมายถึง จำนวนมาก, ชาติภุชงค์ หมายถึง พญานาค) เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ สร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏชื่อเรือพระที่นั่งลำนี้ จัดเป็นเรือพระที่นั่งศรี ในลำดับชั้นรอง ใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินลำลอง ภายหลังนำเข้ากระบวนพยุหยาตราชลมารค
ความงดงามวิจิตรตระการตาของการจำลองเรือพระที่นั่ง ที่จัดวางไว้ท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ และแหล่งน้ำจำลองบนลานพระราชวังดุสิตเบื้องหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยมีประชาชนที่ร่วมชมแต่งกายสวยงามตามยุคสมัยโดยเฉพาะชาวไทยหญิงชายแต่งกายชุดไทยตามยุคสมัยราชนิยม ตั้งแต่ ร.๕ มาถึงยุคปัจจุบัน บริเวณงานได้เนรมิตรังสรรค์ราวกับแดนสวรรค์ของชาววิไล
ดังคำทำนายของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษีเกี่ยวกับรัชกาลต่างๆ ดังนี้ ๑.มหากาฬ ๒.พาลยักษ์ ๓.รักมิตร (รักบัณฑิต) ๔.สนิทธรรม ๕.จำแขนขาด ๖.ราษฎร์โจร (ราชโจร) ๗.ชนร้องทุกข์ ๘.ยุคทมิฬ ๙.ถิ่นตาขาว(ถิ่นกาขาว) ๑๐.ชาววิไล
รายละเอียดคำทำนายของพระพุฒาจารย์ ในรัชกาลก่อนๆ หารายละเอียดได้จากตำราทั่วไป แต่คำทำนายที่ว่ารัชกาลที่ ๑๐ คือยุคชาววิไล สัมผัสได้จากสามปีที่ผ่านมาว่าประเทศชาติสงบ ชาวประชาหน้าใสสุขสบาย โดยเฉพาะกับสิ่งที่เปลี่ยนไปในลานพระบรมรูปทรงม้าหรือลานพระราชวังดุสิต พระพุฒาจารย์ มีญาณพิเศษที่เพ่งเห็นอาถรรพณ์ชั่วร้ายที่ฝังไว้ใกล้ฐานพระบรมรูปทรงม้าหรือไม่ เราไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่หลังจากหมุดคณะราษฎร ที่เป็นเหมือนอาถรรพณ์อันตรธานไป ความสงบสุข ความเจริญ ความสวยงาม ความเป็นชาววิไลก็ได้ปรากฏให้เห็นทันตา
กลุ่มคนที่เรียกว่าคณะราษฎร สมคบกันยึดพระราชอำนาจ เมื่อย่ำรุ่งของวันที่ ๒๕ มิ.ย. ๒๔๗๕ ยึดพระราชอำนาจได้แล้วคณะราษฎรได้ฝังหมุดเหมือนกับยันต์อาถรรพณ์ไว้ใกล้ฐานพระบรมรูปทรงม้า ราวกับเป็นสัญญาณว่าได้เปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยึดอำนาจสถาบันกษัตริย์ไปตลอดกาล ให้ประเทศเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตย ตั้งแต่หมุดคณะราษฎรฝังหมุดที่เหมือนยันต์อาถรรพณ์ไว้ ประเทศชาติวุ่นวายแต่นั้นมา โดยเฉพาะลานพระบรมรูปทรงม้ากับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถูกใช้เป็นที่กุมขังเจ้านาย ใช้เป็นที่ทำงานของคณะราษฎรและเป็นรัฐสภา เขตพระราชฐาน ลานพระราชวังดุสิต จากพระบรมรูปทรงม้าไปถึงถนนอู่ทองกลายเป็นที่ชุมนุมทางการเมือง ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง กลิ่นควันปืน เสียงระเบิดแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ใช้ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ณ สถานที่แห่งนี้ ผู้เขียนได้สัมผัสกับความวุ่นวายในบริเวณนี้ตั้งแต่คืนวันที่ ๑๓ ต.ค. ๒๕๑๖ ได้เห็นการชุมนุมทางการเมือง ชุมนุมของกลุ่มขบถ ตลอดถึงฝ่ายการเมืองก่อความวุ่นวายในบริเวณรัฐสภา ซึ่งถือว่าเป็นเขตพระราชฐานมานานกว่าสี่สิบปี
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่หมุดคณะราษฎรหรือยันต์อาถรรพณ์ อันตรธานไปความสงบสุขก็สัมผัส ได้แก่ชาวไทยถ้วนหน้า ลานพระราชวังดุสิตเริ่มมีเสียงดนตรี มีโขนละคร มีกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณรัชกาลที่ ๕ สามปีแล้วที่ชาวไทยได้รับความสุขอิ่มเอิบที่ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ พระราชทานให้ ในรูปของงานแสดงดนตรี โขนละคร หรือเทศกาลเพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย อาทิ งานอุ่นไอรัก คลายความหนาว“สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์” พระบารมี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สอดรับคำทำนายของพระพุฒาจารย์ ทำให้ยุคชาววิไลเกิดขึ้นได้ในทันตา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี