มหาวิทยาลัยของรัฐถือเป็นหน่วยงานราชการใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดหน่วยงานราชการเหล่านี้จึงมากมาย กลาดเกลื่อน และรกรุงรัง เต็มไปด้วยผู้บริหารองค์กรจำพวกไม้ตายซากซึ่งมีอายุเกิน 60 ปี
ทำไมข้าราชการที่เกษียณอายุราชการแล้ว จึงไม่ยอมคายผลประโยชน์ออกจากปาก ทั้งๆ ที่ในกระเพาะของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยลาภไม่ควรได้ ทำไมเขาเหล่านั้นไม่ยอมลงจากตำแหน่งบริหาร เหตุสำคัญที่คนไร้ความละอายเหล่านั้นไม่ยอมละจากตำแหน่ง เพราะยังละโมบ ตะกละตะกลาม มักมากในผลประโยชน์ที่ไม่สมควรจะได้จากหน่วยงาน ใช่หรือไม่
วิญญูชนในสังคมไทยตั้งคำถามกันมากมายว่า ทำไมข้าราชการที่เกษียณอายุแล้วจึงยังทำหน้าที่ผู้บริหารสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้ แล้วถ้าคนพรรค์อย่างนี้ทำได้ เหตุใดข้าราชการกระทรวงอื่นๆ หรือครูในโรงเรียนทั่วไปที่อายุเกิน 60 ปีแล้วจึงไม่สามารถทำได้บ้าง เอาอะไรมาเป็นข้ออ้างว่าคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยคือคนดีมีความสัตย์ซื่อ เพราะหลายต่อหลายครั้งก็พบว่า เลวไม่น้อยไปกว่าโจร
แม้ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาเด็ดขาดออกมาแล้ว เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ว่าผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐที่อายุเกิน 60 ปี ไม่สามารถทำหน้าที่ผู้บริหารในสถาบันหรือองค์กรได้ คำพิพากษานี้ออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ยังคงปรากฏว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐจำพวกหน้าทนที่อายุเกิน 60 ปี ก็ยังตากหน้านั่งกินตำแหน่งผู้บริหารมหาวิทยาลัยกันต่อไป เสมือนกับเป็นรัฐอิสระ ไม่จำเป็นต้องทำตามคำพิพากษา แต่ที่น่าสมเพชเวทนายิ่งกว่าคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ไม่มีปัญญาจัดการขั้นเด็ดขาดกับผู้บริหารที่ไร้จริยธรรมเหล่านั้น ซึ่งก็ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ตกลงแล้ว ถือว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 หรือไม่
กลับไปทบทวนคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 กรณีที่นายชวลิต สันถวะโกมล ผู้สมัครอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ฟ้องร้องว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ และสภามหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2551 กรณีมีมติแต่งตั้งนายปัญญา การพานิช อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ยังดำรงตำแหน่งผู้รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่อไป
ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติสภามหาวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 ที่แต่งตั้งนายปัญญาเป็นผู้รักษาการตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาประเด็นอายุของผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการดังกล่าว โดยเห็นว่าแม้ พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ไม่ได้กำหนดคุณสมบัติเรื่องอายุไว้ชัดเจน แต่ในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการพลเรือน กำหนดว่าข้าราชการพลเรือนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ มีกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องอายุไว้ว่า ข้าราชการที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แล้วเป็นอันพ้นจากราชการ จึงถือว่าคุณสมบัติเรื่องอายุต้องไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ เป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิการบดี และรักษาการอธิการบดี ที่จำเป็นต้องมีและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้พยายามอ้างคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 37/2560 เรื่องการแก้ไขปัญหาการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษา ข้อสอง ที่กำหนดให้สถาบันอุดมศึกษามีอำนาจแต่งตั้งบุคคลใดซึ่งมิได้เป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้นั้น ศาลปกครองสูงสุดพิจารณแล้วเห็นว่าคำสั่งคสช. ดังกล่าวไม่ได้ยกเว้นเรื่องคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามในเรื่องอายุ จึงเท่ากับเป็นแค่เพียงการรับรองให้ผู้ที่มิได้เป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาหรือพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา สามารถดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยได้นั้น แต่คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา และกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษานั้นๆ ประกอบกับข้อบังคับของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีว่าด้วยการประชุมสภามหาวิทยาลัย พ.ศ. 2547 ระบุว่ากรรมการจะอยู่ในการประชุมขณะมีการอภิปรายและมีมติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ตนเองมีส่วนได้ส่วนเสียมิได้ แต่การประชุมเรื่องการแต่งตั้งรักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 มีบันทึกการประชุมว่านายปัญญา ซึ่งเป็นกรรมการสภาได้ร่วมประชุมด้วย ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงเป็นผลให้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่าการแต่งตั้งรักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย
แน่นอนว่ามีผู้สิ่งมีชีวิตจำพวกซาตานที่ยังไม่ยอมคายผลประโยชน์ออกจากปาก พยายามตะแบงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองว่า คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดไม่ครอบคลุมไปถึงสถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ เพราะฉะนั้นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐจึงไม่ต้องทำตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
แต่ที่น่าสมเพช น่าสังเวช และน่าขยะแขยงคือ ยังอุตส่าห์มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการบางรายตะแบงว่าคำสั่งของศาลปกครองดังกล่าวมีผลเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีเท่านั้น ซึ่งเมื่อวิญญูชนได้ฟังคำพูดดังกล่าวของคนระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ก็บอกตรงกันว่า เสื่อมและทรามมาก พร้อมกับถามกลับว่า ตกลงแล้วข้าราชการในมหาวิทยาลัยจะไม่ต้องเกษียณอายุราชการเมื่ออายุครบ 60 ปี ใช่หรือไม่ หรือว่าอธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี รองคณบดี และผู้บริหารตำแหน่งอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยจะสามารถทำงานหากินในมหาวิทยาลัยได้จนอายุถึง 99 ปี
ที่นี่ลองมาดูสิว่าพวกผีห่าซาตานในมหาวิทยาลัยของรัฐที่อายุเกิน 60 ปีมาตั้งชาติเศษ แต่ทว่ามีหนังหนา และไม่เคยอิ่มและพอกับผลประโยชน์มหาศาลที่กวาดเข้ากระเป๋าตนเองมาโดยตลอด ใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อจะด้านทนอยู่ในตำแหน่งต่อไปอย่างไร
ตัวอย่างที่พบเห็นชัดเจนก็คือ ให้พวกพ้องลิ่วล้อตัวเองที่อายุเกิน 60 ปี ทำหน้าที่รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์ รักษาราชการแทนคณบดีคณะสื่อสารมวลชน แต่ที่น่าสมเพชคือในหนังสือราชการเหมือนกันแต่กลับลงตำแหน่งไม่ตรงกัน เพราะบางฉบับลงว่า รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์ ปฏิบัติราชการแทน รักษาราชการแทนคณบดีคณะสื่อสารมวลชน ย้ำว่ากรุณาอ่านตำแหน่งให้ดี แล้วจะรู้ว่าถ้าไม่ใช่ซาตานจะไม่กล้าทำเช่นนี้เป็นอันขาด
และยังมีความสามานย์มากกว่านั้นคือ แม้คณบดีรายหนึ่งจะเกษียณอายุราชการไปตั้งแต่ปี 2558 แต่กลับไร้ความละอาย เนื่องจากยังด้านทนขอสมัครเข้ารับการสรรหาเพื่อแต่งตั้งตำแหน่งคณบดีคณะสื่อสารมวลชน
นอกจากจะเกิดความน่าสังเวชที่คณะสื่อสารมวลชนแล้ว ยังมีความน่าสมเพชเกิดขึ้นในคณะนิติศาสตร์ด้วย ทั้งๆ ที่เป็นสำนักสอนวิชาด้านกฎหมาย ซึ่งหลักกฎหมายต้องให้ความสำคัญอย่างเคร่งครัดกับความถูกต้อง ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม แต่กลับปรากฏว่ายังอุตส่าห์มีตำแหน่งผู้ปฏิบัติราชการแทน รักษาการคณบดีนิติศาสตร์ ซึ่งก็มีอายุเกิน 60 ปีอีก
เมื่อคณะที่สอนวิชาด้านกฎหมาย ซึ่งจำเป็นสูงสุดที่นักกฎหมายจะต้องเคร่งครัดให้หลักเกณฑ์ของความถูกต้อง และต้องมีความซื่อสัตย์เป็นสำคัญ แต่ทว่าผู้บริหารของคณะกลับไม่ทำตามกฎหมายของบ้านของเมือง แล้วจะให้สาธารณชนเชื่อถือในเกียรติ ในศักดิ์ศรี และความรู้ในหลักกฎหมายพระธรรมศาสตร์ของบัณฑิตที่ถูกผลิตออกมาจากสถาบันสอนกฎหมายเช่นนี้ได้อย่างไร แล้วถ้าสถาบันการศึกษาใดหรือมหาวิทยาลัยไหนมีอธิการบดีที่ทำผิดกฎหมายเสียเองด้วยแล้ว นั่นก็ย่อมแสดงให้เห็นได้ชัดว่า มหาวิทยาลัยนั้นมีโจรเป็นผู้บริหาร
มีคำกล่าวว่า ถ้าหากมหาวิทยาลัยได้กลายสภาพเป็นซ่องโจรไปเสียแล้ว จะยังมีความจำเป็นกับการปล่อยให้มีซ่องโจรในภาพลวงตาเช่นนั้นดำรงอยู่ต่อไปอีกกระนั้นหรือ เพราะผู้ที่อยู่ในซ่องโจรก็คือโจร และผู้ที่ได้รับการสั่งสอนจากโจร ก็ย่อมไม่มีวันพ้นจากการเป็นโจร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี