ชัดเจนว่า ปีนี้จะมีการเลือกตั้งแต่นอน และขณะนี้ แต่ละพรรคการเมืองก็เริ่มต้นหาเสียง แนะนำตัวผู้สมัคร และขายนโยบายกันออกมาบ้างแล้ว ควรถือเอาช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาแห่ง “สติ” ยินดีที่โอกาสแห่งการเลือก “ตัวแทน” คืนกลับมาเป็นของประชาชนแล้ว
การมีตัวแทนสำคัญอย่างไร สำคัญตรงที่เราไม่อาจเอาคนทั้งประเทศมานั่งประชุม มาหาข้อตกลง มาร่วมกันตัดสินใจได้ในคราวเดียวกันไงล่ะ เราจึงใช้วิธีให้ “ตัวแทน” มา “ตัดสินใจแทน”
ที่มาของ “ตัวแทน” หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า“ผู้แทนราษฎร” จึงควร “ยึดโยง” และมาจากการเลือก“ที่รอบคอบ” ของประชาชนจริงๆ
สื่อจึงควรเลิก “จัดตั้งรัฐบาล” แทนประชาชนคนเลือกได้แล้ว แต่จงนำประชาชนไปสู่การเลือกที่มีคุณภาพ และทำหน้าที่แทนประชาชนในการตั้งคำถามต่อนโยบายต่างๆ อย่างมีคุณภาพ แทนการ “จัดตั้งรัฐบาลล่วงหน้า” โดยไม่พาคนไปดูด้วยซ้ำว่า แต่ละพรรคที่สื่อตั้งเป็นรัฐบาลนั้น มีนโยบายที่ดี มีบุคลากรที่ดี และลงแข่งขันอย่างสง่าผ่าเผยดีหรือไม่ ทำเรื่องนโยบายให้เป็นสาระกันเถอะครับ ดีกว่าเอาแต่ “พาดหัวข่าวหวือหวา” หาเรตติ้ง จนลืมจรรยาบรรณและความสุจริต
ยกตัวอย่างเช่น พาดหัวข่าวของสำนักออนไลน์ข่าวแห่งหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2561
“เอาแล้ว! ‘อภิสิทธิ์’ หยั่งเชิงถามหาอุดมการณ์ เปิดทางจับมือ‘พปชร.-พท.’”
พออ่านในเนื้อข่าว... “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ตอนนี้ทุกพรรคการเมืองถือว่าเป็นคู่แข่งทั้งหมด พรรคเพื่อไทยถือว่าเป็นแชมป์เก่า ยังได้เปรียบอยู่ แม้จะไม่มีระดับหัวในการจ่ายท่อน้ำเลี้ยงได้มากมายเหมือนที่ผ่านมา เพราะบางคนหนีออกนอกประเทศ แต่หากพร้อมส่งผู้สมัครและการประชาสัมพันธ์ที่ดี เขาก็เดินไปได้ ส่วนพลังประชารัฐเป็นคู่แข่งเช่นกัน เพราะมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ
อย่างไรก็ตาม หากเราได้เสียงมามาก เราก็จัดตั้งรัฐบาล ได้เสียงมาไม่มาก ก็เป็นไปตามระบบรัฐสภา แต่ถ้าไปเป็นรัฐบาลแล้วไม่ได้ทำให้เราทำงานตามอุดมการณ์ได้ เราก็ไม่เป็น ไม่ใช่กั๊ก แต่ถ้าให้ไปร่วมรัฐบาลที่โกงกินจนระบบพัง ตนไม่เอา ไปร่วมรัฐบาลบริหารเศรษฐกิจแบบนี้ ก็ไม่เอา แต่เราจะไปตัดเลยก็ไม่ได้ ต้องดูว่าเขาจะเปลี่ยนนโยบายบายหรือไม่
“เราไม่ได้คิดเรื่องผลประโยชน์ต่อรองตำแหน่ง ใครที่ยอมรับแนวทางอุดมการณ์เรา จะพรรคพลังประชารัฐหรือพรรคเพื่อไทย หากเขายอมรับแนวทางของเรา ก็ต้องแสดงท่าทีออกมาก่อน แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าแต่ละพรรคมีจุดยืนท่าทีอย่างไร ที่สำคัญตอนเลือกตั้งจะถูกถามหมดว่าแต่ละพรรคอะไรเอา อะไรไม่เอา วันนี้มันยังตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอะไร เราไม่เคยประกาศว่าฉันจะไม่ร่วมกับใคร แต่เป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ก็เป็น ถ้าประชาชนให้ เราอยากจะเป็นมาก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามอีกว่าหากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์จะจับมือพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเป็นฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องจับมือร่วมกับใคร เพราะต่างคนต่างมาเป็น หากเราจับมือกันแล้วรัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อยจะอยู่ได้หรือ แม้จะมีสว.อยู่ในมือ แต่ก็ทำได้แค่ช่วงเลือกตั้งนายกฯเท่านั้น ที่บอกกันว่าระวังจะมีการเกิดกลุ่มงูเห่า 2 อีกครั้ง ก็ลองดูว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน และจะจบอย่างไร...”
พาดหัวหวือหวา น่าสนใจดีครับ แต่เนื้อหาตรงกับพาดหัวหรือไม่ หรือพาดหัวสรุปแทนข้อเท็จจริงหรือไม่ ลองคิดกันดู
อันที่จริง นายอภิสิทธิ์ตอบคำถามเรื่องจับมือหรือไม่จับมือกับใครมาน่าจะใกล้ 100 ครั้งได้แล้วมั้งครับ มันจึงไม่เข้าข่าย “เอาแล้ว!!” หรือ “หยั่งเชิง” อย่างที่พาดหัวข่าวนั่นเลย คงเพราะคนเขียนข่าวนี้ เพิ่งเคยได้ยินกระมังครับ
หากตามจับคำให้สัมภาษณ์ของเขาจริงๆ จะพบว่ามีอยู่ไม่กี่ประการ และพูดเช่นนั้นมาตลอด คือ
1.พรรคประชาธิปัตย์ ขอเป็นทางเลือกหลักทางหนึ่ง ไม่ใช่แค่จะไปรวมกับใคร อย่างที่สื่อพยายามสร้างกระแสชี้นำ และบีบความคิดของคนเลือก ว่า เฮ้ย! เอ็งเหลือแค่ทักษิณกับประยุทธ์แล้วนะ เอ็งจะเลือกข้างไหน
2.ประชาธิปัตย์ขอเสนอตัวว่าจะเป็นรัฐบาล โดยไม่เอาขั้วใคร ข้างไหน มาเป็นเงื่อนไขหาเสียง แต่จะเอา “ปัญหาที่ประชาชนประสบอยู่” มาเป็นเงื่อนไข เพื่อจะบอกกับประชาชนว่า พรรคเห็นปัญหา พรรคห่วงใยปัญหา พรรคมีนโยบายแก้ปัญหา พรรคมีคนที่มีความสามารถที่จะแก้ปัญหา จึงเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ไม่เคยตอบว่าจะจับมือหรือไม่จับมือกับใครตั้งรัฐบาล แต่มุ่งมั่นจะนำพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นรัฐบาลให้ได้ ซึ่งจะได้หรือไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ในเกมแห่งการแข่งขัน ในฐานะหัวหน้าพรรค เขาขอประกาศว่าทิศทางของพรรคจะไปทางนี้
3.ยังตอบไม่ได้ว่า จะร่วมรัฐบาลกับใคร เพราะต้องรอมติจากประชาชนก่อน หากประชาชนทั่วประเทศเทคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์มากพอที่จะตั้งรัฐบาล พรรคก็จะยึดเอานโยบายที่ประกาศไว้เป็นหลัก ในการหาพรรคที่มีนโยบายไปในแนวทางเดียวกัน มาร่วมรัฐบาลกัน ในกรณีที่ไม่อาจตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว ต้องหาพรรคอื่นมาร่วมรัฐบาล
4.หากประชาชนเลือกผู้แทนจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่มากพอ ก็รอให้พรรคที่ประชาชนเขาเลือก เป็นหลักในการตั้งรัฐบาล ซึ่งหากมีใครมาชวน ก็จะรอดูนโยบาย ว่าสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันหรือไม่
5.นายอภิสิทธิ์เคยระบุชัดเจนว่า พรรในเครือข่ายของนายทักษิณ ชินวัตร ต้องแสดงความชัดเจนว่าเป็นอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้การกำกับบงการของคนอื่น และต้องมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกัน ส่วนพรรคพลังประชารัฐนั้น ถ้ายังใช้หลักการบริหารเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน ก็คงร่วมกันยาก เพราะไปคนละแนว รวมถึงแนวของการบริหารจัดการ ที่ประชาธิปัตย์ประกาศมานานแล้วว่า มุ่ง “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” แต่สโลแกนนี้ บัดนี้ พรรคภูมิใจไทยหยิบไปใช้เสียแล้ว หากพรรคพลังประชารัฐ ยังเน้นรัฐราชการ รวมศูนย์อำนาจแบบที่เป็นอยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน ประชาธิปัตย์ก็คงไม่ร่วม
ผมว่า เท่านี้ก็แสนจะชัดเจนเกินกว่าจะเทียวถามซ้ำๆ ซากๆ ในเรื่องนี้กันได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม พอผลการเลือกตั้งออกมา ทุกพรรคการเมืองก็จะได้รู้กันละว่า ตนจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือจะเป็นฝ่ายรอให้คนมาชวนไปร่วมตั้งรัฐบาล
เรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ ต้องรอมติจากประชาชนทั่วประเทศ!!
แต่ทำไมข่าวการจับมือกันระหว่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย ถึงออกมาถี่นัก
อย่างล่าสุด “แนวหน้าออนไลน์” รายงานเมื่อ 1 ม.ค. 2562 รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย(พท.) เปิดเผยถึงการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และ นายโภคิน พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย ในฐานะนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน เมื่อวันที่ 21-23 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า นอกเหนือจากการเข้าพบและร่วมหารือกับภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจการท่องเที่ยวของจีน เกี่ยวกับการสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ไทยแล้ว
ทางผู้บริหารรัฐวิสาหกิจการท่องเที่ยวของจีนยังได้สอบถามถึงสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ซึ่งกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562 กับคุณหญิงสุดารัตน์อีกด้วย โดยแกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ยังเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นเร็วที่สุดคือวันที่ 24 ก.พ. 2562 ตลอดจนเชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ที่นั่ง สส.มาเป็นอันดับ 1 และรวมกับเครือข่ายฝ่ายประชาธิปไตยจะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส่งผลให้เสียงอาจไม่มากพอที่จะกำหนดตัวนายกรัฐมนตรี เมื่อถึงเวลานั้นพรรคเพื่อไทยก็พร้อมที่จะทาบทามพรรคประชาธิปัตย์ที่คาดว่าจะได้ที่นั่ง สส. 80-100 ที่นั่ง มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล และได้เกิน 375 ที่นั่ง เพื่อเลือกผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ข่าวแจ้งด้วยว่า เบื้องต้นแกนนำของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีข้อเสนอให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา พร้อมกับมอบหมายกระทรวงสำคัญบางกระทรวงให้กับผู้แทนของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีจะเลือกจากบัญชีของพรรคเพื่อไทย ซึ่งขณะนี้ยังยืนยันว่าเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ อย่างไรก็ตาม อาจมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างหาเสียง โดยดูจากผลสำรวจความนิยมในช่วงนั้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ นายโภคิน ก็เคยตกเป็นข่าวว่าได้เจรจากับนายอภิสิทธิ์ในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลหลักการเลือกตั้งมาครั้งหนึ่ง โดยครั้งนั้นถูกระบุว่า จะให้ตัวนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนที่ทั้งนายโภคิน และนายอภิสิทธิ์ จะปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวในเวลาต่อมา
ข่าวนี้ออกมาไม่นาน นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็รีบชี้แจงทันทีว่า เป็นความเท็จ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ปล่อยใครให้ไปดีลทางการเมืองใดๆ เกี่ยวกับ
การจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นเพียงการปล่อยข่าวเพื่อเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งในบ้านเมือง
นายจุติกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังมีนโยบายที่จะเสนอประชาชนอีกหลายเรื่องจึงมั่นใจว่าประชาชนจะมีทางเลือกและให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์มาบริหารบ้านเมือง พรรคจะเสนออาชีพที่มั่นคง ดูแลเอาใจใส่ประชาชนทุกกลุ่มให้มีความสุขอย่างทั่วถึง สำหรับการเลือกตั้งต้องแข่งขันกันทุกพรรคจะรู้ผลว่า ใครเป็นรัฐบาลหรือไม่หลังจากประชาชนลงคะแนนแล้วเท่านั้น ดังนั้นทุกฝ่ายทุกพรรคต้องให้ความเคารพความเห็นของประชาชน
เช่นเดียวกับ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่บอกว่า ยังเร็วไปที่จะมาพูดเรื่องดังกล่าว ในพรรคปชป.ยังไม่มีพูดกันว่า จะจับขั้วกับใครหรือตั้งรัฐบาลกับใคร
“ผมว่า ข่าวไม่จริง จะไปคุยกันได้อย่างไรในเมื่อการเลือกตั้งยังไม่เริ่ม ผลเลือกตั้งยังไม่ออก ยิ่งมาปล่อยเรื่องมีการแลกเก้าอี้กันล่วงหน้ายิ่งไปกันใหญ่ ข่าวออกมาอย่างนี้ชาวบ้านคงไม่เห็นด้วย เพราะเวลานี้ชาวบ้านต้องการรู้ว่า แต่ละพรรคมีนโยบายการแก้ปัญหาปากท้องให้พวกเขาอย่างไร ซึ่งปชป.ประกาศนโยบายแก้ปัญหาราคายางพารา ปาล์ม ไปแล้วกำลังให้สมาชิกพรรคสำรวจในพื้นที่ถึงผลตอบรับ เพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุง ประชาชนสนใจจุดนี้มากกว่า เขาไม่สนใจเลย ว่าพรรคไหนจับมือกับใครตั้งรัฐบาล”นายนิพิฏฐ์ กล่าว
ที่มีข่าว ปชป. จูบปาก เพื่อไทย หรือจะใช้คำว่า จับมือ ร่วมกันตั้งรัฐบาล หรืออะไรก็ตามบ่อยๆ มันเป็น “ความจนแต้ม” ในการทำข่าวของสื่อมากกว่า
1) เพราะมุ่งขายความลึก ความลับ ความหวือหวา สื่อจึงมองข้ามการ “ตรวจจับ” นโยบาย ทั้งๆ ที่สื่อทำได้ ด้วยการเอาผู้รู้ในแต่ละเรื่องมาชำแหละนโยบายของพรรคการเมืองที่ประกาศออกมา ว่าทำได้หรือไม่ได้ ทำแล้วดีหรือไม่ดี ให้เป็น “คู่มือคิด” ของประชาชน ดีกว่าเอาคนนั้นคนนี้ พรรคนั้นพรรคนี้มารวมรัฐบาล โดยไม่ต้องสนใจเลยว่า ทิศทางนโยบายไปด้วยกันได้ไหม จะเอาชนะกันให้ได้อย่างเดียว
2) พอสื่อไปทางนั้น ก็ชี้นำประชาชนไปทางผิด ประชาชก็เอาแต่ “แทงหวยการเมือง” ว่าใครจะชนะ ใครจะแพ้ ใครจะจับขั้วกับใคร แต่การพินิจพิเคราะห์ว่า ตนควรจะเลือกคนไหน พรรคใด ให้เป็น “ตัวแทน” เพราะเหตุใด
การเมืองรอบนี้ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล ก็ล้วนอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของวุฒิสภา ของ คสช. ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ เป็นหลักทั้งนั้น ส่วนการเมืองบนท้องถนน ก็ถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ ซึ่งเข้มงวดมาก เรียกว่าแทบจะทำอะไรอย่างที่เคยๆ ทำกันไม่ได้เลย
การเลือกตั้งครั้งนี้ จึงไม่มีอะไรให้ “ต้องกลัว” จนมองข้ามปัญหาและนโยบาย ไปกลัวทักษิณจะมา กลัวทหารจะสืบทอดอำนาจ เกลียดเผด็จการทำให้ชุลมุนวุ่นวายจนเสียสติ
กลับสู่ปรัชญาที่แท้จริงของการเลือกตั้งกันเถอะ
นั่นคือ หาตัวแทนที่ดีที่สุดจากแต่ละเขตเข้าสภา เพื่อให้เขาร่วมกันตระหนักและแก้ไขปัญหาของประชาชน ประเทศชาติท่ามกลางการตรวจสอบที่เข้มงวดจากรัฐสภา องค์กรอิสระ สื่อมวลชน และประชาชน
หยุดกระแสตั้งรัฐบาลล่วงหน้าและหาปีศาจมาให้คนกลัวกันได้แล้ว
ลากเอานโยบายทั้งหลายมาชำแหละกันดีกว่า!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี