แม้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายทหารนอกราชการ (หรือเกษียณอายุ) จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐ แล้วจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการทหาร
แต่เมื่อท่านขึ้นดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมอยู่ในสถานะผู้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ติชมได้
เมื่อบวกกับความคิดพื้นฐานที่ว่า ผู้นำใดๆ นั้น ควรจะต้องเปิดใจ และตรงไปตรงมากับประชาชน ซึ่งเป็นลูกบ้าน ดังนั้นการที่ผมเองจะขอถามคำถามที่ข้องจิตข้องใจตนเองถึงท่าน ก็คงไม่น่าจะผิดกติกาแต่อย่างใด
โดยที่ต้องถามก็เพราะเห็นว่า หลังการปฏิวัติประเทศสิ้นสุดลงแล้ว พลเอก ประยุทธ์ นั้นมีทีท่าว่าจะไม่เลิกรา หรือวางมือไปจากเรื่องการบ้านการเมือง โดยจะอยู่ในแวดวงการเมืองต่อไปในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ทั้งๆ ที่ปกติแล้ว ควรจะเป็นเพียงการเข้ามาเพื่อจัดการบ้านเมืองที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย แล้วก็ลงจากเวทีไปอย่างสง่างาม ให้สังคมได้ชื่นชมถึงความเสียสละ
คำถามนั้นมีอยู่ว่า
1. ตามครรลองประชาธิปไตยนั้น อุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคที่ตนสังกัดอยู่ คือการบ่งบอกจุดยืน หรืออุดมการณ์ทางการเมืองของสมาชิก ซึ่งเป็นการผูกมัดตนเองเข้ากับวิถีทางของประชาธิปไตยให้อย่างชัดเจน เมื่อพลเอกประยุทธ์ จะไปทำหน้าที่นักการเมืองเต็มตัวกันแล้ว ท่านได้ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหนึ่งใดแล้วหรือยัง หากสมัครแล้ว ท่านเป็นสมาชิกพรรคใด? และหากยังไม่สมัคร เหตุใดจึงไม่สมัคร? หรือว่ายังหาพรรคที่มีอุดมการณ์ตรงกับท่านไม่ได้?
2. ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พรรคการเมือง จะต้องนำเสนอชื่อผู้ที่พรรคนั้นๆ สนับสนุนให้เป็นนายกฯ ล่วงหน้า (ในกรณีพรรคตนชนะการเลือกตั้ง) จำนวน 3 รายชื่อ ไม่ทราบว่า พลเอกประยุทธ์ได้ยอมให้พรรคใดเอาชื่อตนเองไปอยู่ในรายชื่อนำเสนอหรือไม่? หากยินยอมแล้ว เป็นพรรคใดกันแน่? และถ้าหากไม่ได้ยินยอม เหตุใดจึงมีบางพรรคกล้าออกมาประกาศว่าจะมีชื่อของท่านในรายชื่อของตนเอง? กรณีที่ไม่ชัดเจนนี้ ทำให้สังคมสับสน
3. ในกรณีที่พลเอกประยุทธ์ ได้ยินยอมให้พรรคใดก็ตาม นำชื่อตนเองไปใส่ในรายชื่อนายกฯ นำเสนอ แล้ว นอกเหนือจากการยินยอมดังกล่าว ท่านยังจะไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคนั้นๆ ด้วยหรือไม่?
4. ในกรณีที่ผู้ที่มาจากการทำรัฐประหาร สนใจจะเข้าร่วมการแข่งขันในการเลือกตั้งเพื่อเป็นผู้นำรัฐบาลต่อ ก็สมควรที่จะได้แสดงสปิริตด้วยการลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่ครหาจากสังคม ถึงความเอาเปรียบอันเกิดจากการเขียนกติกาเอง เล่นเอง จัดการแข่งขันเอง รวมทั้งการกุมอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ คำถามข้อนี้จึงมีอยู่ว่า พลเอกประยุทธ์จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนการจัดการเลือกตั้งหรือไม่?
5. หากพลเอกประยุทธ์ จะดำเนินการทั้ง 4 ข้อ ข้างต้น ประชาชนไทยก็น่าจะได้ทราบว่า ท่านจะกระทำเมื่อใด?
คำถามทั้ง 5 ข้อนั้น ผมถามในฐานะประชาชนไทยต่อบุคคลสาธารณะ ซึ่งพลเอกประยุทธ์มีสิทธิ์ที่จะตอบหรือไม่ก็ได้ ซึ่งหากท่านตอบออกมา แล้วเป็นคำตอบที่ประชาชนฟังแล้วยอมรับ มันก็จะเป็นแรงสนับสนุนให้ท่านมั่นใจที่จะเดินหน้าในสนามการเมืองต่อไป ก็เป็นความสง่างามของตัวท่านเอง
แต่ไม่ว่าท่านจะให้คำตอบกับผมหรือไม่ ก็คงไม่สำคัญเท่ากับชุดคำถามต่อไป ที่ผมอยากฝากให้ท่านได้ลองถามตนเองดูสักครั้ง แล้วหาคำตอบด้วยตนเองดูว่า
ก. พลเอกประยุทธ์อยู่ในอำนาจมาร่วม 6 ปีแล้ว เหตุใด พลเอกประยุทธ์ จึงยังประสงค์ที่จะกลับมาเป็นนายกฯ ต่อหลังการเลือกตั้ง? มีอะไรสำคัญที่ยังค้างคาอยู่ ที่ท่านยังมิได้ทำให้เสร็จสิ้น?
ข. ในขณะช่วงเวลาที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในมือขนาดนั้น ท่านยังไม่สามารถทำให้สำเร็จ แล้วเมื่ออยู่ในสภาที่มีการคานอำนาจจากทั้งรัฐสภา องค์กรอิสระ และภาคประชาชน ท่านคิดว่า ท่านจะยังสามารถทำสิ่งที่ค้างคาเหล่านั้นให้ลุล่วงได้จริงหรือ?
ค. เมื่อก้าวไปเป็นนายกฯ ตามครรลองประชาธิปไตยแล้วการบริหารงานนั้นย่อมหลีกเลี่ยงเสียงวิจารณ์จากสื่อ และสังคมไม่ได้อย่างในสมัยรัฐบาลทหาร ที่ท่านสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเมินคำโอดครวญเรื่องปากท้องจากประชาชนตัวเล็กตัวน้อย ที่เขารู้สึกว่าท่านได้ยินแต่เสียงจากกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ จนดำเนินนโยบายที่ส่งผลให้ประเทศไทยติดอันดับต้นๆ ของประเทศช่องว่างทางรายได้สูงในโลก จึงไม่ทราบว่า หลังจากการเลือกตั้งแล้ว ท่านพร้อมที่จะได้ยินเสียงร้องระงมทนทุกข์จากพิษเศรษฐกิจของประชาชนหรือไม่?
หากท่านตอบตนเองได้ว่า ท่านมั่นใจที่จะจัดการกับทั้งสามข้อดังกล่าวได้อย่างแน่นอน ผมเองก็ขออนุญาตอุ่นเครื่องด้วยการบอกเล่าให้ท่านฟังเรื่องที่น่าปรับเปลี่ยนในอนาคตสักหน่อยว่า
ในมุมมองของชาวบ้านนั้น เขารู้สึกว่าทีมเศรษฐกิจของท่านดำเนินการโดยมุ่งเพียงตอบสนองความต้องการของกลุ่มทุน และภาคธุรกิจรายใหญ่ ไทย/เทศ เป็นหลัก ลูกน้องของท่านแทบไม่คำนึงถึงภาคเกษตร ภาคแรงงาน ภาคอาชีพบริการ ภาคชุมชน ว่าเขามีสิทธิ์ และต้องการมีส่วนร่วมตั้งแต่ความคิด การตัดสินใจ ไปจนถึงการปฏิบัติ และเขาก็หวังกันว่า หากพลเอกประยุทธ์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯ หลังการเลือกตั้ง ท่านจะไม่เลือกที่จะบริหารประเทศด้วยแนวคิด และนโยบายด้านเศรษฐกิจดังที่ปฏิบัติมา
นอกจากนั้นแล้ว เมื่อเปลี่ยนผ่านจากการเป็นหัวหน้ารัฐบาลเผด็จการทหาร ไปเป็นรัฐบาลพลเรือน พลเอกประยุทธ์ ควรได้ประเมินถึงการให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชนให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารประเทศทั้งเรื่องภายในและเรื่องต่างประเทศ
ส่วนเรื่องวิธีการบริหารราชการและออกกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ผ่านมา คือวิธีการบังคับให้ทำ โดยปราศจากการเสนอความคิดเห็นนั้น มันได้สร้างความทึบทางปัญญา เพราะมันทำลายศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์ ว่าด้วยการพึ่งตนเองเป็นสำคัญก่อนอื่นใดไปอย่างน่าเสียดาย
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากพลเอกประยุทธ์ ได้อ่านบทความนี้แล้วยังมั่นใจว่า ท่านมิได้มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด ทิศทางนโยบาย หรือวิธีการการบริหารใดๆ เลย โดยเฉพาะหากท่านสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯ หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ได้
ท่านก็ควรได้ค้นหาคำตอบจากคนไทยว่า พวกเขาจะยอมสยบกับระบอบอำนาจนิยม ไปได้อีกนานเท่าใด?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี