ช่วงนี้ วัดพระธรรมกายทำกิจกรรมระดมใบอนุโมทนาบัตร 3 ล้านใบ
อ้างว่า เป็นการแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของอาคาร สิ่งปลูกสร้าง และที่ดินหลายพันไร่ที่มิได้อยู่ในชื่อวัดพระธรรมกาย แต่อยู่ในชื่อมูลนิธิที่ถูกสอบสวนดำเนินคดีฐานฟอกเงิน และถูกร้องให้เลิกมูลนิธิเพราะทำผิดกฎหมาย
1. สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ออกประกาศ เรื่อง การรวบรวมใบอนุโมทนาบัตรและใบ MPL(My Papa Love) เมื่อ 29 มกราคม 2562 โดยอธิบายว่า “มีภารกิจพิเศษ” ให้นำส่งภายในวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ ห้องแก้วสารพัดนึก สภาธรรมกายสากล
ในแวดวงเครือข่ายธรรมกายจะทราบว่า มีการบอกข่าวกันภายในว่า ตั้งเป้าหมายใบโมฯ 3 ล้านใบ ให้ถ่ายภาพตัวจริงเก็บไว้ นำแต่ละใบจริงใส่กล่องมา บูชาพระด้วยใบโมฯ ได้บุญอีก
“จะให้ใครมายึดวัดของเราไม่ได้ พวกเราคือเจ้าของวัดตัวจริง”
2. อันที่จริง ก่อนหน้านี้ ทางวัดเคยมีการระดมกันแล้วรอบหนึ่ง ตอนที่ ปปง.มีคำสั่งอายัดอาคาร 100 ปีคุณยายฯ
เป้าหมายที่อ้างต่อลูกศิษย์ผู้ศรัทธา คือ จะใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดี
มาครั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ยื่นคำร้องให้อัยการสูงสุดยื่นศาลให้ยุบมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ และมูลนิธิธรรมกาย ที่พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งนอกจากจะดำเนินคดีอาญากับผู้บริหารมูลนิธิแล้ว ในทางทรัพย์สินก็จะดำเนินการร้องต่อศาลให้สั่งเลิกมูลนิธิ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 131(2) และขอให้ศาลพิจารณาเลิกมูลนิธิ ให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 134 ต่อไป
สุดท้าย หากศาลตัดสินให้เลิกมูลนิธิ ทรัพย์สินทั้งหลายก็จะตกเป็นของแผ่นดิน
3. น่าคิดว่า การที่วัดมาระดมใบอนุโมทนาบัตรในเช่นนี้ เป็นการต่อสู้คดีตรงจุด ตรงประเด็นแค่ไหน?
หรือหวังผลทางจิตวิทยาว่ามีการเคลื่อนไหวร่วมกันของคนหมู่มาก
หรือหวังผลยื้อคดีให้ยืดไปยาวๆ หวังเปลี่ยนรัฐบาล ถ้าได้รัฐบาลที่รับใช้ธรรมกาย ก็อาจจะช่วยปัดเป่าคดี เหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่อัยการเคยขอถอนฟ้องคดีธัมมชโยในชั้นศาล ทั้งๆ ที่ ตอนนั้นศาลจวนจะพิพากษาอยู่แล้ว
4. อย่างไรก็ตาม ศิษย์วัดพระธรรมกายบางกลุ่มเห็นว่าการกระทำดังกล่าวนั้น ไม่ได้ช่วยวัด แต่เป็นเพียงการสร้างภาพว่าผู้บริหารวัดในปัจจุบันได้ทำอะไรบางอย่าง และยังช่วยลดกระแสเล่นงานผู้บริหารมูลนิธิ ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้ถูกดำเนินคดีฐานฟอกเงิน จากการเล่นแร่แปรธาตุ รับเงินโกงเข้ามูลนิธิ จนถูกสอบสวนดำเนินคดีอยู่ในวันนี้
น่าคิดว่า ถ้าต้องการใบอนุโมทนาบัตร ส่วนกลางของวัดต้องมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว สามารถดึงข้อมูลต้นทางได้เลย ออกมาจากฐานข้อมูลโดยตรงด้วยซ้ำ ไม่ต้องรบกวนญาติโยมอะไรเลย
น่าสนใจว่า ทำไมป่านนี้แล้ว มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ และมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน จึงไม่เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดด้านการเงินทั้งหมด อย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส ใครบริจาคเท่าไหร่ เมื่อไหร่ แล้วเงินถูกใช้จ่ายก่อสร้างโครงการไหน จ่ายใคร เท่าไหร่ เมื่อไหร่ อย่างไร? แต่ละปีมีเงินทุนสะสมเท่าไหร่? มีกระแสเงินไหลเวียนย่างไร? ถึงปัจจุบันมียอดเท่าไหร่? ฯลฯ
สังคมจะได้ตาสว่าง ว่าเงินไหลมาจากไหน ไปไหน ยังไง?
หรือว่ามันมีอะไรลึกลับดำมืด ไม่สามารถเปิดเผยทั้งหมดสู่สาธารณะได้?
ใครกลัวว่าลูกศิษย์วัดที่มีศรัทธาบริสุทธิ์ จะเห็นข้อมูลข้อเท็จจริงอะไรหรือเปล่า?
อย่าลืมว่า คดีที่ดีเอสไอกำลังดำเนินการ เป็นเรื่องเกี่ยวกับมูลนิธิ ไม่ใช่วัด
แต่ทำไมจะต้องไปขอใบอนุโมทนาบัตร ลากไปเกี่ยวกับวัด?
กำลังพยายามจะใช้วัด ใช้ศรัทธาของผู้คน มาเป็นเกราะกำบังให้ผู้บริหารมูลนิธิ อีกแล้วหรือไม่?
5. คุณจตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการพุทธศาสนา ตั้งข้อสังเกตน่าคิดในเฟซบุ๊ค Jaturong Mantaso Jongarsa ระบุว่า
“ถวายคืนอนุโมทนาบัตร : จริงจังหรือปาหี่?
เมื่อวานนี้วัดพระธรรมกายจัดงานใหญ่โต(อีกแล้ว) ซึ่งเป็นพิธีแหวกแปลกใหม่ในวงการคณะสงฆ์ไทยอีกครั้งนั่นก็คือ #พิธีถวายอนุโมทนาบัตรคืนวัด.. ซึ่งผู้เขียนตั้งแต่ออกจากท้องพ่อท้องแม่มาก็ไม่เคยเจอสมภารและกรรมการวัดไหนกระทำการอะไรกันแบบนี้
#อนุโมทนาบัตรคืออะไร มีไว้เพื่ออะไร?
คำว่าอนุโมทนาบัตรนั้น รองสมเด็จทองดี เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมกิตติวงศ์ ได้ให้ความหมายไว้ในหนังสือคำวัดว่า #อนุโมทนาบัตร คือหนังสือรับรองการบริจาคที่วัดออกให้ผู้บริจาคทรัพย์ทำบุญ อาจเรียกว่า #ใบอนุโมทนา ก็ได้
อนุโมทนาบัตร นั้นถือเป็นหลักฐานแสดงการบริจาคทรัพย์ให้แก่วัด เพื่อบำรุงศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ก่อสร้างเสนาสนะถาวรวัตถุ ตั้งทุนบำรุงการศึกษา ถวายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร หรือ กิจกรรมอื่นใดในวัดนั้นๆ นอกจากเป็นหลักฐานสำหรับวัดแล้ว ยังเป็นการบำรุงศรัทธาสร้างความปลื้มปีติแก่ผู้บริจาคเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะแสดงถึงความบริสุทธิ์ในการรับ ขณะเดียวกันอนุโมทนาบัตรยังใช้เป็นหลักฐานการขอลดหย่อนภาษีหรือขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้ด้วย
#เอกสารต่อศาลต้องใช้ตัวจริงเท่านั้น?
คำโกหกคำโตที่ล่อลวงให้สาธุชนเชื่อ
ตัวผู้เขียนนั้น ไม่เคยเห็นใครใช้เอกสารฉบับจริงในการชี้แจงต่อศาล อีกทั้งยังไม่มีเคยเห็นมีทนายท่านใดอุตริ ยื่นเอกสารตัวจริงที่ไม่ใช่สำเนาไปพร้อมกับคำฟ้องทันทีทันใด ใครๆก็ใช้แต่สำเนาทั้งนั้น พอเวลานำสืบข้อเท็จจริงใดที่เกี่ยวกับเอกสารฉบับนั้น เมื่อถามให้พยานรับรองเอกสารแล้ว ก็ขอคืนโดยใช้สำเนาส่งไว้ในกระบวนการยุติธรรมแทนตัวจริง
#เจตนาปกปิดอะไรกันแน่?
อนุโมทนาบัตรที่เรียกคืนมีสองประเภท ได้แก่
1.อนุโมทนาบัตรเงินที่เข้าวัดพระธรรมกาย
2.อนุโมทนาบัตร MPL(เงินที่เข้ากระเป๋าธมฺมชโย)
ประเภทแรก ผู้เขียนมิได้ติดใจใดใดเพราะถือว่าเงินนั้นเข้าวัดเข้าสงฆ์ #แต่... ประเภทที่สองนี่แหละผู้เขียนข้องใจมากเพราะเส้นทางการเงินตรงจุดนี้แหละที่ผิดเพี้ยน จนทำให้รัฐต้องเข้ามาตรวจสอบ แถมรัฐจะยึดทรัพย์กันวุ่นวาย ก็อย่างว่าผูกเองไม่รู้จักแก้ ซึ่งผู้เขียนเคยได้อธิบายไว้แล้วในครั้งก่อนๆ อวดอ้างสรรพคุณว่าถวายให้หลวงพ่อธมฺมชโยตรงๆ ได้บุญมากกว่าถวายสงฆ์ถวายวัด
คนโง่โลภมากอยากรวยเร็วได้บุญมากๆเร็วๆ ก็ไม่ได้ถวายผ่านระบบเงินวัดผ่านอนุโมทนาบัตรวัดแบบปกติ กลับหวังบุญโง่ๆไวๆ ทางลัด ส่งเงินผ่านเข้ากระเป๋าธมฺมชโยผ่าน MPL กันโดยตรง พอเงินถูกไซฟ่อนไปมูลนิธิบ้าๆบอๆเปิดใหม่ อ้างชื่อคุณยายอาจารย์ พอรัฐเข้ามาตรวจสอบก็จะมาเดือดร้อน
จะให้ทำไงได้เงินพุทธศาสนาแท้ๆ แทนที่จะเอาเข้าเป็นของสงฆ์ เป็นธรณีสงฆ์ เป็นสมบัติศาสนา กลับเอาไปเล่นแร่แปรธาตุในนามมูลนิธิต่างๆเสียนี่
เรียกอนุโมทนาบัตรคืน ก็คงไม่ต่างอะไรจากผู้ขายของพยายามเก็บใบเสร็จจากลูกค้าคืน วันหนึ่งผู้ซื้ออยากจะมาร้องทุกข์กล่าวโทษเมื่อฝีแตกกับผู้ขายบุญย้อนหลัง คงทำไม่ได้อีกต่อไป เพราะผู้ซื้อบุญไม่ได้ผ่าน Broker เช่น วัดและสาธารณกุศล แต่ซื้อบุญ Future Market กับพระต้นธาตุ ซึ่งหลักฐานอะไรก็จะไม่มียืนยันได้อีกต่อไป
#เพราะผู้ขายได้เรียกคืน ใบเสร็จ/สัญญา/หลักฐานในการซื้อบุญโดยตรงกับพระต้นธาตุต้นธรรม # ที่รู้จักกันในนามของ #ใบอนุโมทนาบัตร#ไปแล้ว....”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี