ในทางการเมือง ทุกคนมี “พื้นที่ปลอดภัย” (Safety Zone) กันทั้งสิ้น ไม่ว่าพรรคการเมือง ทหาร หรือฝ่ายประชาชนคนเลือก
การเมืองขณะนี้ กำลัง “ชักเย่อ” กันอยู่ 3 มุม
1.ประชาชน = คะแนนเสียง 2.ทหาร = ระยะลงจากหลังเสือ 3.พรรคการเมือง/นักการเมือง = ช่วงชิงการถืออำนาจขณะนี้ คะแนนซึ่งเป็นคูปองแลกอำนาจ กลับไปอยู่ในมือประชาชน และรอบนี้ ทุกคูปองคือทุกคะแนนนั้นมีความหมาย นับหมดทั่วประเทศ เรียกว่ามีบัตรใบเดียว จะเลือกอะไรก็เลือกเลย ทั้งตัวคนและตัวพรรค ไม่อนุญาตให้ “คบซ้อน” ใบหนึ่งเลือกคน ใบหนึ่งเลือกพรรคเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“คะแนนจากทั่วประเทศ” จะถูกนำมารวมกัน แล้วคำนวณหา “จำนวน สส.พึงได้” ของแต่ละพรรค จะไม่แจกแจงให้งงนะครับ ว่าวิธีคำนวณเป็นยังไง เอาเป็นว่า “คะแนนรวมทั่วประเทศ” จะเป็นตัวกำหนดว่า พรรคไหนควรได้ สส.เท่าไหร่ จากนั้นเอา “จำนวนสส.พึงได้” หักด้วย “สส.เขต” เช่น พรรค A ได้คะแนนจากทั่วประเทศ สมควรมี สส.ทั้งหมด (ที่เรียกว่า จำนวน สส.พึงได้) 100 คน แต่ได้ สส.เขตไปแล้ว 80 คน ดังนั้น ต้องเอา สส.บัญชีรายชื่อไปเติมให้อีก 20 คน ในกรณีได้ สส.เขตมากกว่าจำนวนพึงได้ ก็ยกให้ได้ตามนั้น เพราะถือว่าประชาชนเลือกมา
ด้วยระบบการนับคะแนนแบบนี้ ทำให้รอบนี้มีพรรคการเมืองลงสมัครมากมาย มากจนคนงง แต่เอาเข้าจริง ประชาชนก็ยังคนสนใจพรรคหลัก 3 พรรค คือ เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ เพราะธรรมชาติของคนชอบอยู่ข้าง “คนชนะ” เรายังไปไม่ถึงการเลือกเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ เพื่อให้มี “ตัวแทน” เข้าสู่สภา เช่น เรามีพรรคกรีน ที่จะทำเรื่องป่าไม้ เรามีพรรคสามัญชน ที่จะผลักดันเอ็นจีโอ-คนสามัญ เข้าสู่สภา การมีพรรคเกิดมาเป็นร้อยๆ พรรค ซึ่งไม่ค่อยสั่นคลอน 3 พรรคใหญ่เท่าไรนัก นอกจากเสียดายคะแนนที่จะกระจัดกระจายออกไป
พรรคทั้ง 3 จึงพยายามรักษา “พื้นที่ปลอดภัย” ของตัวเองเอาไว้ ได้แก่
1) พรรคตระกูลเพื่อ เกิดยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย สับหลีกพื้นที่การส่งผู้สมัคร เพื่อไม่ให้กระทบคะแนนกัน พรรคหนึ่งเก็บ สส.เขตให้ได้มากที่สุด อีกพรคเก็บบัญชีรายชื่อ อีกพรรคเก็บคะแนนคนเสื้อแดง นปช. เอามารวมๆ กันเพื่อให้ได้จำนวน สส.มากที่สุด
แต่ “ความไม่ปลอดภัย” ที่มากระทบ ก็เช่น มีพรรคน้องใหม่กระแสแรงอย่าง อนาคตใหม่ มาดึงฐานเสียง ที่เบื่อการเป็น “พรรคทักษิณ” เบื่อการต่อปากต่อคำด้วยโฆษกโง่ๆ เบื่อการทุจริตต่อเนื่อง ไม่ว่าจะตั้งกี่พรรคและถูกยุบไปกี่พรรคก็ตาม รวมไปถึงนักเลือกตั้งหน้าใหม่
การที่พรรคหนึ่งในเครือข่ายกระทำผิด จนศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค คือภาวะ “ไม่ปลอดภัย” สุดๆ แต่ยังมีความหวังว่า จะได้จำนวน สส.มากที่สุด จากฐานคะแนนเดิมที่มีอยู่ ซึ่งตรงฐานเดิมนี่แหละ คือพื้นที่ปลอดภัย แต่ สส. จำนวนหนึ่งก็ถูกดึงไป ไหนจะหัวคะแนนอีกล่ะ ยิ่งไม่มีนโยบายที่ “คม-ชัด” ก็ต้องอาศัย “กินบุญเก่า” พร้อมๆ กับยุทธวิธีจับคู่กับศัตรู เพื่อเบียดศัตรูกลุ่มอื่นออกไป โดยใช้ประเด็น “ส่งเผด็จการกลับบ้านลุง กระเป๋าตุงๆ จะกลับมา” อะไรทำนองนี้ เรียกว่าหา “ศัตรูที่ชั่วร้ายกว่า” มาขับเน้น แล้วซ่อนเร้นตัวเองอยู่กับคำว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ไม่เอาเผด็จการ ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ เพื่อรักษาอารมณ์กองเชียร์เอาไว้ เพราะรอบนี้ จะประกาศตัวเป็น “พรรคทักษิณ” โจ่งแจ้งไม่ได้ เดี๋ยวโดนยุบพรรค เพราะมีกฎหมายใหม่ออกมา ห้ามคนนอกครอบงำบงการ เต็มที่จึงทำได้แค่พา “ลูกโอ๊ค” ไปลงพื้นที่ การันตีด้วย “หน้าตาแบบนี้ นามสกุลแบบนี้” นะคะ
2) พรรคพลังประชารัฐ มีพื้นที่ปลอดภัยเดียว คือ แอบอยู่ข้างหลังลุงตู่ อย่าแสดงตัวมาก เดี๋ยวคนเอะใจ นึกออกว่าพวกเราเป็นใคร เคยทำงานกับใคร เคยทำอะไรมาบ้าง การหาเสียงมีการพูดถึงนโยบายอยู่บ้าง แต่ก็ถูกจับได้ว่า “ต่อยอด” มาจากนโยบายของคนอื่น มีเพียงจำนวนน้อยนิดที่อ้างว่าเป็นการ “สานต่อนโยบายที่ลุงตู่ทำไว้” ในที่สุดก็มีสินค้าเดียวที่เป็น “ตัวขาย” คือ ลุงตู่ กับอารมณ์ “กลัว” คือ กลัวว่าทักษิณจะกลับมา ดังนั้นเลือกลุงตู่สิ กลัวเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นอีก ดังนั้น เลือกลุงตู่สิ ทั้งหมดวนกลับไปที่ “ลุงตู่” อย่างเดียวเลย
แต่ก็นั่นแหละ อาวุธพรั่งพร้อมมากนะครับ ทั้งรายได้จาก “โต๊ะจีน” และนอกโต๊ะจีน ซึ่งไม่รู้จะมีหรือเปล่า มีทั้งหมดเท่าไหร่ ไหนจะเนียนๆ เรื่องบัตรคนจน และแรงกดดันในพื้นที่ ด้วยกลไกมหาดไทย ทหาร และการแจกโฉนดที่ดิน ซึ่งมาในรูปของ “การบริหารราชการแผ่นดิน” ตามปกติของรัฐบาลปัจจุบัน
3) พรรคประชาธิปัตย์ พื้นที่ปลอดภัยของเขาคือ ความซื่อสัตย์สุจริต นโยบายเป็นรูปธรรม เป็นจริง จับต้องได้ และมีคณะบุคคลที่พร้อมจะขับเคลื่อน ตลอดเวลาการหาเสียงเลือกตั้ง จะเห็นว่าจุดยืนของประชาธิปัตย์คือ ไม่หาประโยชน์จากความขัดแย้ง แต่มุ่งขายนโยบายอย่างสงบ พอไม่ขายความขัดแย้งก็เลยไม่หวือหวา เพราะคนในประเทศนี้ นโยบายมาทีหลัง “ฮีโร่” แต่ทันใดที่พรรคประชาธิปัตย์ทิ้งบอมบ์ “ไม่สนับสนุนลุงตู่เป็นนายกฯ” เท่านั้นแหละ พื้นที่แห่งความปลอดภัยของแต่ละพรรคสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
เพื่อไทย-ตกใจ ตั้งแต่อภิสิทธิ์ประกาศไม่ร่วมกับพรรคทุจริต โกงกิน ไม่ว่าจะ “บกพร่องโดยสุจริต” หรือ “ทุจริตเชิงนโยบาย” ก็ตาม ตอนนั้นไม่แสดงตัว กลัวว่าคนจะจับคู่พรรคกับแนวทางที่นายอภิสิทธิ์ประกาศ ซึ่งคนจะมองว่า เฮ้ย!! เขาพูดถึงพรรคเอ็งเหรอวะ พรรคก็ต้องเพิกเฉย ถือว่าไม่ใช่เรา (ซึ่งทำถูกต้องแล้ว)
พอประชาธิปัตย์ประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ คราวนี้ระส่ำระสาย ไม่ใช่ดีใจนะ เพราะ “คนกลางๆ” หรือคนที่ไม่ตัดสินใจ ที่คาดหวังว่าจะได้ เพราะตอนหลังเร่งขายนโยบาย “กระเป๋าตุง” กำลังมี “ตัวเลือกเพิ่ม” มีอีกพรรคหนึ่งที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ มีมือเศรษฐกิจและนโยบายที่เป็นรูปธรรมกว่า ประวัติความซื่อสัตย์สุจริตของพรรคชัดเจนกว่า เลยออกมาแก้เกี้ยวว่า “พูดให้ชัดๆ สิ ไม่เอาประยุทธ์ แล้วจะรวมกับพลังประชารัฐไหม ตีปลาหน้าไซ สลายขั้วตรงข้ามเสียก่อนเลย เพราะหาก 2 พรรคนั้นจับมือกัน เป็นอัน “ปิดทาง” ตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยสนิท ชนิด “ปิดตาย” กันเลยทีเดียว
พลังประชารัฐ-ออกอาการ “เหวี่ยงเบาๆ” ด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า “ใจแคบ” ยังตอบโต้ไว้ไมตรี เพราะคนในพรรคนี้ “นักการเมือง” ที่ถนัดย้าย ถนัดเจรจา รวมอยู่ด้วยมิใช่น้อย วันนี้ “ดีล” กับลุงตู่ เพราะต้องอาศัยความนิยมของลุงตู่เข้าสภา วันหน้าได้อำนาจมาแล้ว จากคะแนนของ “คนที่รักลุงตู่” ย่อมต้องไปดูสถานการณ์ภายหน้าอีกที ว่าจะ “โหวตเลือกลุงตู่เป็นนายกฯหรือไม่” เพราะถึงเวลานั้น พวกเขาเข้าสภาได้แน่นอนแล้ว แต่ลุงตู่ยังต้องรอให้สภาโหวตเลือกเสียก่อน จึงจะเป็นนายกฯ ได้ เราก็คาดคิดไม่ออกหรอกว่า ถึงเวลานั้น การต่อรองจะเข้มข้นเพียงใด เพราะทุกๆ ลมหายใจ ลุงตู่หายใจด้วย “จมูกของนักการเมืองเหล่านี้” พื้นที่ปลอดภัย หรือเซฟตี้โซนที่กระทบ จึงกระทบกับลุงตู่จังๆ
อนาคตใหม่-มาร่วมวงไพบูลย์กับเขาด้วย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตั้งเงื่อนไขถามทันทีว่า ไม่เอาประยุทธ์ แล้วเอาพลังประชารัฐไหม พอธนาธรบอกไม่เอาประยุทธ์ ก็มีคนไม่เอาตามกันใหญ่ แต่พูดให้ชัดๆ นะ ว่าไม่เอาประยุทธ์แล้ว เอาพลังประชารัฐไหม ปรากฏว่าหงายเงิบ เมื่อสังคมออนไลน์ขุดคลิปที่โฆษกพรรคอนาคตใหม่ “น้องช่อ” คนสวย ให้สัมภาษณ์กับมติชนทีวีว่า หากพลังประชารัฐเลิกสนับสนุนลุงตู่ เลิกรับมรดกการสืบทอดอำนาจ ก็มาร่วมกันได้ ตลกดีนะครับ พยายามจะทำให้คนอื่นดู “แทงกั๊ก” ลืมตรวจสอบพรรคของตัวเอง (ฮา...)
รวมพลังประชาชาติไทย-นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของพรรค ที่ไม่มีตำแหน่งอะไรแต่ใหญ่มาก กระโดดเข้าทุบ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ทันที ว่าไอ้นี่เนรคุณ ไม่มีกู มึงจะได้เป็นนายกฯ ไหม มึง “กระสัน” จะเป็นนายกฯ ทำท่าจะไปรวมกับฝ่ายทักษิณ มึงลืมคนที่ตายแล้วใช่ไหม นี่คือ “ความเสื่อมสุดๆ” ของคนคนนี้แล้วครับ เพราะ 1.ใช้ความเท็จเข้าทำให้คนสงสัยว่านายอภิสิทธิ์จะไปจับมือกับพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่นายสุเทพเป็นเจ้าแห่งข้อมูลข่าวสาร แต่กับเรื่องนี้ทำเป็นโง่ และผู้คนเกิดคำถามทันทีว่า แต่นายอภิสิทธิ์ประกาศไม่หนุนลุงตู่ ต้องโมโหโกรธา ครองสติไม่อยู่ขนาดนี้เลยเหรอ ตกลงไอ้ที่เป่านกหวีดกันนั่น เพื่อพล.อ.ประยุทธ์ ตามที่มีบางฝ่ายเขาสงสัยจริงๆ นี่คือรับสารภาพ ที่สำคัญ ลุงกำนันถามคนตายหรือยังครับ ว่าเขามาเป่านกหวีดเพื่อต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม หรือมาเป่าเพื่อกรุยทางให้ “ลุงตู่” ของลุงกำนัน เขาจะรู้สึกว่าวันนั้น กูถูกมึงหลอกใช้กันไหมครับ?
จะมองว่าพลั้งพลาดเรื่องข่าวสารก็ไม่ได้ เพราะปราศรัยที่พังงาเสร็จ ยังไปปราศรัยที่ภูเก็ตต่อ ด้วยข้อมูลและท่าทีเดียวกัน ดังนั้น นี่คือ “ความจงใจ” ที่จะทำลายอภิสิทธิ์เพื่อช่วยลุงตู่ แต่สาธุชนทั้งหลายครับ อยากได้ลุงตู่ก็ไปเลือกพรรคพลังประชารัฐกันสิครับ จะต้องมาเลือกอ้อมๆ ผ่านพรรครวมพลังประชาชาติไทย ทำไม หรือนี่ก็คือยุทธวิธีแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย เหมือนที่นายสุเทพเคยวิจารณ์พรรคอื่นเอาไว้ใช่หรือเปล่า
แต่แน่นอน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็โดนแรงระเบิดนี้เต็มๆ รวมไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
แต่สำหรับคนที่ตั้งสติได้ ค่อยๆ รับฟัง ก็จะเข้าใจหลักการที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอตนเองเป็นทางเลือกหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ มั่นใจว่ามีนโยบายที่ดี มุ่งจะแก้ปัญหาของประชาชนโดยไม่ได้มุ่งขัดแย้งมาโดยตลอด แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา ที่เอาแต่นำเสนอนโยบาย สื่อก็ดี ชาวบ้านก็ดี เอาแต่ถามว่า จะตั้งรัฐบาลกับใคร ทั้งๆ ที่ได้พูดชัดก่อนหน้านั้นแล้วว่า จะตั้งเองถ้าประชาชนเลือกมามากพอ และชวนพรรคที่รับแนวทางและนโยบายของประชาธิปัตย์ได้มาร่วม แต่หากได้คะแนนน้อยกว่า ก็ต้องรอคนอื่นเขามาชวน และถึงแม้เขามาชวน ก็ต้องพิจารณาแนวทางกับนโยบายอีก ว่าไปกันได้หรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจตอนนั้น ครั้นถามกันไม่เลิก นโยบายดีไม่ถูกสื่อสาร ก็ต้องประกาศกันให้ชัด แล้วเวลาที่เหลือจะได้มานั่งดูนโยบายกัน
ส่วนหัวหน้าพรรคซึ่งมาจากการเลือกของสมาชิก ก็ต้องได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ พรรคประชาธิปัตย์ไปเสนอชื่อคนอื่นเป็นนายกฯ ก็แปลกแล้วล่ะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี