ได้อ่านสกู๊ปพิเศษ เรื่อง “โกงสอบมหา’ลัยดัง เขย่า“อเมริกัน ดรีม” นำเสนอโดยทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
น่าสนใจทั้งเนื้อหา และการเรียบเรียง
ชวนให้ย้อนกลับมามองประเทศไทย คนตระกูลรวยๆ บางตระกูล อาศัยอำนาจรัฐและอำนาจทุน “ฟอกตัวให้ลูกหลาน” ผ่านการยัดเข้าไปในสถาบันอุดมศึกษาดังๆ ด้วยวิธีการที่ยิ่งกว่าในสหรัฐเสียอีก
1. สกู๊ปของทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์ ระบุว่า เป็นข่าวอื้อฉาวครั้งเลวร้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์แวดวงการศึกษาของสหรัฐ เมื่อทางการสหรัฐได้เปิดโปง “ขบวนการทุจริตการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
แอนดรูว์ เลลลิ่ง อัยการรัฐแมสซาชูเซตส์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาในขบวนการโกงสอบครั้งนี้ 50 คน เกือบทั้งหมด ล้วนเป็นคนดังที่มีชื่อเสียง
ในหลายวงการ ตั้งแต่ซีอีโอบริษัทไปจนถึงนักแสดงชั้นนำในฮอลลีวู้ด ที่ได้ว่าจ้างให้สถาบันเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยและโค้ชกีฬาสร้างกลโกงขึ้นมา เพื่อดันให้ลูกหลานของตัวเองเข้ามหาวิทยาลัยดังในสหรัฐได้
ขบวนการโกงนี้มีเงินสะพัดมากถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 793 ล้านบาท)
นับตั้งแต่เริ่มขบวนการในปี 2011
ซีเอ็นเอ็นระบุว่า นักเรียนชาวอเมริกันกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงห้องเรียนโปรแกรมพิเศษราคาแพง ติวเตอร์หัวกะทิ หรือคอร์สเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เรียกว่า ได้เปรียบเป็นทุนอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ซีเอ็นเอ็นและเอเอฟพีระบุว่า เด็กที่ร่ำรวยในสหรัฐยังมีสิทธิพิเศษถึงขั้นไม่ต้องไปลงสนามสอบแข่งขัน แต่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ ด้วยการที่ผู้ปกครองบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้กับมหาวิทยาลัย เช่น ในกรณีของ จาเร็ด คุซเนอร์ ลูกเขยของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ ในปี 1998 หลังจากที่พ่อของเขาบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัย 2.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 79 ล้านบาท)
ล่าสุด รูปแบบที่ผู้ปกครองและสถาบันเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยใช้โกงมีอยู่ 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
การติดสินบนเจ้าหน้าที่ของสถาบันเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อให้ไปเข้าสอบ SAT และ ACT แทนลูกของตัวเอง หรือไปแก้ไขคำตอบในข้อสอบให้ถูกต้อง
และอีกรูปแบบ คือ การติดสินบนโค้ชกีฬาให้สร้างประวัติปลอม เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษเข้ามหาวิทยาลัยได้จากความสามารถทางกีฬา โดยมีค่าใช้จ่ายในการทุจริตต่อครั้งอยู่ที่ 2 แสน-6.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 6.3-205 ล้านบาท)
2. กลับมาดูกรณีอื้อฉาวในเมืองไทย
ไม่แน่ใจว่าเด็กรุ่นใหม่ ทันได้รับทราบเรื่องราวอื้อฉาวเหล่านี้หรือไม่?
2.1 กรณีลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรี
เรียนจบรัฐศาสตรบัณฑิต จุฬาฯ
เธอได้เข้าเรียนในปีที่ข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว อื้อฉาวทั่วบ้านทั่วเมือง
ดร.ไชยยันต์ ไชยพร หัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์โดยอธิบายถึงกรณีข้อสอบ
เอนทรานซ์รั่วไว้อย่างน่าสนใจ
“... เคยมีคนโทรศัพท์มาต่อว่าผม บอกว่านายกฯ ทักษิณดีมาก นักวิชาการไม่รู้จริงหรอก ด่าว่าผมสารพัด ผมก็ปล่อยให้เขาพูดไป พอเขาพูดจบ ผมก็ถามเขากลับเกี่ยวกับเรื่องข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว ว่าเขาคิดยังไง เขาก็บอกข้อสอบเอนทรานซ์รั่วเพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยปล่อยให้ข้อสอบรั่วน่ะสิ อาจารย์เอาข้อสอบไปขาย ผมก็บอกไม่ใช่ คนออกข้อสอบคือกระทรวงศึกษาธิการ
เสร็จแล้วผมก็บอกว่าพอมีข้อครหาเกิดขึ้นมา นายกฯ ไม่ลงมาเล่นประเด็นนี้ด้วยตัวเองเลย ขณะที่เวลามีวิกฤติอื่นๆ นายกฯ ลงมาเร็วมาก
ที่สำคัญ ข้อสอบมารั่วในปีที่ลูกสาวนายกฯ สอบด้วย เด็กคนนั้นมีประวัติการสอบครั้งแรกคะแนนน้อย แต่พอข้อสอบรั่วคะแนนกลับสูง
ถึงตอนนี้เขาก็พูดเลยว่าถ้านายกฯ ทำดีขนาดนี้ ก็ยกให้ลูกเขาสักคนไม่เห็นเสียหาย ผมเลยบอกว่า คุณลองคิดดู ถ้ามีเด็กคนหนึ่งยากจน มาจากต่างจังหวัด หวังจะสอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ต้องถูกเบียดตกไปเพราะคนคนหนึ่งโดยไม่ยุติธรรม การที่เขาสอบเข้าไม่ได้ ชีวิตมันพลิกผันนะ คนที่สอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ หางานทำได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้นะ เขาจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ เขาช่วยเหลือครอบครัวของเขาได้ การให้การศึกษาคนมันยั่งยืน และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันเป็นระบบที่มีคุณธรรม ยุติธรรม มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเคารพมานานแล้ว
ผมบอกเขาต่อว่า คุณลองคิดดูสิว่าพอหลังจากมีการสืบสวนเรื่องนี้แล้ว พบว่าข้อสอบไปรั่วที่คุณวรเดช จันทรศร (เลขาธิการคณะกรรมการ
การอุดมศึกษาขณะนั้น) จากนั้นคุณวรเดชก็ถูกขอให้ลาออกไป แต่ล่าสุด คุณวรเดชกลับมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คุณตอบผมมาสิ นายกฯ ทักษิณทำอะไรอยู่ เขาก็บอกว่า แล้วผมจะกลับไปไตร่ตรองครับอาจารย์ อาจารย์พูดมีเหตุผล
ผมเลยคิดว่าคนที่ชอบนายกฯ ทักษิณโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการจ้างหรือให้เงินนะ ชอบเพราะคิดไปว่านายกฯ ทักษิณทำดี และเป็นสิ่งที่ดีกับประชาชนส่วนใหญ่ แบบนี้ยังคุยกันรู้เรื่องนะ ผมคิดว่าถ้าให้เวลา 3-4 เดือน โดยที่สื่อโทรทัศน์-วิทยุช่วยกันกระจายข่าวสารข้อมูลความจริงออกไป หรือเปิดให้มีเวทีสาธารณะมากขึ้น ระบอบทักษิณจะหมดไปทันที เพราะคนไม่โง่หรอก เพียงแต่ถูกปิดกั้นข่าวสาร และความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อวิถีชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของพวกเขา ไม่ใช่ดีแต่ช่วงสั้นๆ...” (สัมภาษณ์ : รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร “เราไม่ควรเอาตัวของเราไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรับรอง การกระทำความผิดทางการเมืองของผู้นำ” นิตยสารสารคดี ปีที่ 22 ฉบับที่ 255 ประจำเดือนพฤษภาคม 2549)
2.2 กรณีลูกสาว (อีกคน)
เรียนจบปริญญาตรี ม.ดัง
เธอได้เข้าเรียนในการสอบปี 2542 คณะหนึ่ง ก่อนจะไหลเข้าไปอยู่ในคณะที่มีคะแนนสูงกว่าเดิมหน้าตาเฉย
ปีแรก ได้เกรดเฉลี่ยสะสมในภาคเรียนที่ 1 และภาคเรียนที่ 2 เป็น 1.50 และ 1.58 ตามลำดับ
แต่ปีถัดมา เธอก็กลายไปเป็นนิสิตใหม่คณะสังคมศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ ในปีการศึกษา 2543 ภาคเรียนที่ 1 โดยมีการเปลี่ยนแปลงรหัสนิสิตใหม่ด้วย เสมือนหนึ่งสอบเข้าใหม่ แต่จริงๆ ไม่ต้องไปสอบแข่งกับคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ คณะนี้มีคะแนนสอบเข้าสูงกว่าคณะแรกที่เธอได้เข้ามา
และหลักเกณฑ์ทั่วไปของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คือ นิสิตที่มีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมในปีการศึกษาแรกต่ำกว่า 2.00 ไม่มีสิทธิ์ย้ายคณะ
พูดง่ายๆ ว่า เข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัยในคณะที่คะแนนต่ำๆ ด้วยวิธีสอบตรงก่อน แล้วค่อยไหลต่อไปคณะอื่นเนียนๆ โดยไม่ต้องสอบแข่งขันกับคนอื่น
ต้องการเข้าเรียนสาขาวิชาหนึ่ง แต่ไม่อยากสอบ ent หรือไม่มีปัญญาแข่งขัน จึงสมัครเข้าเรียนในโครงการภาคพิเศษคณะใดคณะหนึ่ง ก่อนเดินเกมขอย้ายเข้าเรียนในคณะเป้าหมาย
กูทำได้ เพราะพ่อกูใหญ่
กูต้องได้ เพราะพ่อแม่กู อยากให้ผู้สืบสันดานของตระกูลได้ฟอกตัวผ่านมหาวิทยาลัยดังๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี