ชาวอุษาคเนย์รวมทั้งชาวไทยจำนวนมากเคยได้ยินได้ฟังคำว่า อมฤต โดยเฉพาะน้ำอมฤตมาแต่ครั้งเริ่มมีการทำวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งต้องนับว่าเป็นการได้ยินได้รู้เรื่องนี้มานานนักหนาแล้ว แต่ทว่าเป็นความรับรู้ในบริบทของวรรณคดีว่าเป็นเรื่องราวในเทพนิยาย ซึ่งเหนือความจริงออกไป
เพราะในตำนานรามเกียรติ์นั้นได้เริ่มต้นด้วยพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อทำน้ำอมฤต โดยพิธีเกษียรสมุทรนั้นเป็นพิธีใหญ่ที่ร่วมกันทำทั้งสามโลก ดังนั้นทั้งพวกเทวดา ครุฑ คนธรรพ์ นาค และมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งฤาษีชีไพรทั้งปวง ก็ได้มาร่วมการพิธีนี้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นพิธีใหญ่ที่สุดในสามโลกนั้น ยิ่งใหญ่ยิ่งไปกว่าการประชุมสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติมากมายนัก
เหตุที่ทั้งสามโลกร่วมกันตั้งการพิธีใหญ่กวนเกษียรสมุทรก็เป็นความปรารถนาร่วมกันของทั้งสามโลกว่า ผู้เกี่ยวข้องทั้งปวงควรจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ คือดำรงคงอยู่โดยไม่มีวันตาย อยู่เหนือออกไปจากกฎพระไตรลักษณ์ที่ว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ เสื่อมไป และสลายไปเป็นธรรมดา
อันเป็นการสะท้อนว่านอกจากพระอริยบุคคลและพระตถาคตเจ้าแล้ว ทั้งสามโลกนั้นล้วนแต่มีความลุ่มหลงที่จะมีชีวิตอยู่ให้ยืดยาวที่สุด กระทั่งหวังชีวิตให้เป็นอมตะด้วยกันทั้งสิ้น หรือจะว่าอีกนัยหนึ่งก็คือทั้งสามโลกล้วนกลัวเจ็บกลัวตายด้วยกันทั้งสิ้น ความแก่ ความเจ็บ และความตาย
ไม่ละเว้นให้กับผู้ใด ไม่ว่าอยู่ในโลกไหนๆ และเป็นเรื่องที่น่าเกรงกลัว หวาดกลัว ที่แม้แต่เทวดาก็ยังไม่อยากตกไปในภาวะเช่นนั้น
ทำให้เห็นว่านอกจากเรื่องความปรารถนาที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่เจ็บไม่แก่ ไม่ตายแล้ว ก็เห็นจะมีแต่เรื่องหวยและเรื่องสุราเท่านั้นที่จะทำให้คนทั้งหลายมีความลุ่มหลงจมปลักไปในอบายเหล่านั้น
การกวนเกษียรสมุทรก็คือการกลั่นหรือสกัดน้ำทะเลทั้งสามโลกให้กลายเป็นน้ำอมฤต ซึ่งระบุว่าจะเป็นน้ำที่มีสีขาว มีกลิ่นหอมเหมือนกับดอกไม้บนสวรรค์หลายชนิดผสมรวมกัน มีลักษณะขุ่นข้นในระดับกึ่งกลางระหว่างน้ำนมกับน้ำอสุจิ และถ้าใครได้ดื่มกินแล้วก็จะมีชีวิตที่เป็นอมตะ
การที่ตั้งชื่อหรือได้ชื่อว่าเป็นน้ำอมฤต ก็เพราะคำว่าอมฤตนั้นแปลว่าไม่ตาย จึงสรุปรวมความได้ว่าน้ำอมฤตก็คือน้ำยาวิเศษที่ดื่มกินแล้วก็จะไม่ตาย จะมีชีวิตที่เป็นอมตะ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ดังนั้นจึงเป็นที่ปรารถนา
ในตอนทำพิธี ผู้เกี่ยวข้องทั้งสามโลกก็สามัคคีกันเป็นอันดี แต่ในพลันที่กวนเป็นน้ำอมฤตเสร็จสิ้นก็มีเทพอสูรตนหนึ่งฉวยโอกาสชิงเอาน้ำอมฤตไปกินแต่เพียงตนเดียว จึงทำให้เทพอสูรตนนั้นถึงซึ่งความเป็นอมตะคือความไม่ตาย เทพอสูรตนนี้ก็คือพระราหูนั่นเอง
ครั้นพระราหูได้ดื่มน้ำอมฤตแล้วก็ทะนงว่าตัวเองอยู่เหนือพระไตรลักษณ์ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และใครก็ทำให้ตายไม่ได้ ดังนั้นจึงกำเริบลำพองอาละวาดไปทั่วทั้งสามโลก ร้อนถึงพระตรีมูรติจึงต้องมาปราบพระราหู
ในระหว่างการต่อสู้นั้น พระนารายณ์เป็นเจ้าได้ขว้างจักรวิเศษประจำองค์พระเป็นเจ้าต้องตัวเทพอสูรราหูขาดเป็นสองท่อน แต่เพราะอานิสงส์จากการดื่มน้ำอมฤตพระราหูจึงไม่ตาย แม้ท่อนล่างขาดสลายหายไป แต่ท่อนบนก็ยังดำรงอยู่ จึงเป็นเหตุให้พระราหูเหลืออยู่เพียงท่อนเดียว จนกลายเป็นตำนานพิพาทกันของสามโลก
กลายเป็นตำนานมิตรและศัตรูให้แก่คัมภีร์พยากรณ์ทั้งหลาย ลักษณะที่เป็นมิตรกับพระเคราะห์อื่น และลักษณะที่เป็นศัตรูกับพระเคราะห์อื่น รวมถึงวิถีโคจรของพระราหูก็ตรงกันข้ามกับพระเคราะห์ทั้งหลาย จะเรียกว่าเป็นพวกขวางโลกก็ได้
ดังนั้นพระราหูจึงเป็นพระเคราะห์ดวงเดียวที่โคจรย้อนจักรราศีสวนทางกับพระเคราะห์ดวงอื่นๆ มีวิถีโคจรปีครึ่งจึงจะครบจักรราศีทั้งหลายดังที่ระบุในคัมภีร์จักรทีปนีจรว่า “ปีกึ่งก็เกิดกล คติย้อนราศีไป”
ลักษณะมิตรศัตรูและวิถีโคจรที่ย้อนจักรของพระราหูจึงเป็นบทยกเว้นของการพยากรณ์ทั่วไป อันปรากฏอยู่ในคัมภีร์จักรทีปนีจรนั้น โดยบทยกเว้นนี้มีถึงห้าประการคือ “พักรเสริดและมนต์มี วิสมห้าประการกล” แต่โหรานุโหรจะใช้กันเพียงสามอย่าง คือ พักร เสริด และมนต์ เพราะโดยทั่วไปยากจะหาผู้เข้าใจเข้าถึงความที่ว่า “วิสม” จึงไม่อาจประกอบความรู้ขึ้นเป็นข้อยกเว้นห้าประการได้ และเป็นเหตุให้คำพยากรณ์ของโหรดังบางท่านต้องผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างน่าเสียดาย
ที่ระบุในตำนานว่าน้ำอมฤตมีสีขาว และมีกลิ่นคาวกึ่งกลางระหว่างน้ำนมกับน้ำอสุจินั้นเป็นการซ่อนปริศนาบางอย่างไว้ในตำราโบราณถึงสองประการ คือ
ประการแรก น้ำอมฤตไม่ได้มีสีขาว แต่เป็นสีดำ สีเดียวกับยานาโนที่สกัดจากกัญชานั่นเอง แต่ปกปิดสลับดำขาวกันเสีย เพื่อป้องกันไม่ให้แย่งชิงกัญชา กัญชง และกระท่อม ซึ่งเป็นยาวิเศษของสามโลกที่ธรรมชาติได้ประทานไว้ให้
ประการที่สอง น้ำอมฤตจะมีกลิ่นหอม มีกลิ่นหอมลักษณะเดียวกับน้ำกัญชา หรือกลิ่นควันกัญชา และมีความหอมเช่นเดียวกับน้ำอสุจิที่ลักษณะแท้จะมีกลิ่นหอมดุจดั่งน้ำข้าว แต่ด้วยกฎแห่งธรรมชาติที่จะปกป้องคุ้มครองจุลชีพไม่ให้ตกเป็นอาหารหรือถูกเอาไปกินเสียจนหมด ทำให้มนุษย์ไม่มีโอกาสสืบเผ่าพันธุ์ จึงมีมายาบังไว้ให้กลิ่นแรกเริ่มเป็นกลิ่นคาวจัด และยังปกปิดด้วยชื่อจากสุจิเป็นอสุจิ คือจากความสะอาดบริสุทธิ์กลายเป็นความสกปรก
ดังที่ได้มีการเปรียบเทียบในธรรมบทว่า อัตตัตถะ อสุจี มนุสสา ซึ่งแปลว่าคนเห็นแก่ตัวเป็นคนสกปรก
พรรณนาความมาทั้งหมดนั้นก็เพราะสันนิษฐานว่าน้ำอมฤตที่ทั้งสามโลกทำพิธีใหญ่กวนเกษียรสมุทรนั้นแท้จริงก็คือพิธีสกัดกัญชาเพื่อเป็นยาวิเศษนั่นเอง
ดังนั้นจึงมีตำนานเล่าขานว่า มีตำรายาโบราณที่ทำให้ชีวิตแก่ยาก ตายยาก เป็นอยู่สบาย มีอายุยืนยาวเป็นอมตะ มีลักษณะสีดำ มีกลิ่นหอมและสามารถรักษาโรคได้กว่า 400 ชนิด และคัมภีร์ในการผลิตยาชนิดนี้มีชื่อว่าคัมภีร์อมฤตโอสถ
ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาก็มีหลักฐานมากหลายที่เอ่ยอ้างถึงคัมภีร์อมฤตโอสถ และบรรดาแพทย์แผนโบราณแห่งราชสำนักอยุธยานั้นก็มีการเอ่ยอ้างถึงคัมภีร์อมฤตโอสถกันมากที่มากแห่งโดยเป็นที่รู้กันทั่วไปว่ายาอมฤตตามคัมภีร์อมฤตโอสถนั้นมีสรรพคุณในการรักษาโรคกษัยทั้งปวงกว่า 400 ชนิด
โรคกษัยที่ว่านี้ไม่ได้จำกัดแคบอยู่ดังที่ติดปากชาวบ้านทั่วไปแค่ “โรคกษัยไตพิการ” หรือเป็นกษัยแล้วทำให้เยี่ยวบ่อยๆ เยี่ยวกะปริดกะปรอยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งเสี้ยวเดียวของกษัยเท่านั้น
สิ่งที่เรียกว่ากษัยที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์อมฤตโอสถนั้นหมายถึงสมมุติฐานของโรคต่างๆ โดยอาการที่ปรากฏแก่ร่างกายนี้ ไม่ว่าแก่เนื้อหนัง
ก็ดี แก่เส้นประสาท เส้นเอ็น หลอดเลือดก็ดี แก่อวัยวะต่างๆ ก็ดี ล้วนมีสมมุติฐานหรือสาเหตุของโรคทั้งสิ้น และสมมุติฐานหรือสาเหตุของโรคนี่แหละที่โบราณเรียกว่ากษัย
รวมความก็คือ กษัยเป็นต้นเหตุหรือสมมุติฐานของโรคทุกชนิดที่เกิดขึ้นแก่ร่างกายแห่งชีวิตนี้ ดังนั้นการที่คัมภีร์อมฤตโอสถได้พรรณนาเอ่ยอ้างสรรพคุณว่าสามารถรักษากษัยได้กว่า 400 ชนิด ก็คือสรรพคุณในการรักษาโรคกว่า 400 ชนิดนั่นเอง และสรรพคุณในการรักษานั้นก็เพ่งเอาที่สมมุติฐานของโรค ซึ่งเป็นไปตามหลักการทั่วไปที่แม้แผนปัจจุบันก็รับรู้รับรองกันอยู่
ความจริงพระพุทธเจ้าทรงรู้มานานแล้ว ดังพระพุทธวจนที่ตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเกิดจากเหตุ เมื่อจะดับผลอันใดต้องดับเหตุแห่งผลนั้น โดยนัยนี้การจะรักษาเยียวยาโรคทั้งหลายให้ได้ผลดีที่สุดจึงต้องรักษาที่สมมุติฐานของโรคคือกษัยนั่นเอง
คัมภีร์อมฤตโอสถได้หายสาบสูญไปกว่าร้อยปีแล้ว หลังจากสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์แล้ว เนื้อความตามคัมภีร์นั้นหายไป มีแต่การเอ่ยอ้างและมีการนำความไปจารึกไว้เป็นบางส่วนบางตอน ทำให้สมบัติล้ำค่าของชาติมิได้นำมาใช้ประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎรเลย
มาบัดนี้คัมภีร์อมฤตโอสถปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ไปค้นคว้าจนพบคัมภีร์อมฤตโอสถนี้จึงเป็นที่หวังว่าจะบังเกิดอาณาประโยชน์แก่ราษฎรปวงสืบไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี