โครงการ Google Book เป็นโครงการที่ทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยการทำเหมืองข้อมูลผ่านวิธีการศึกษาแบบมนุษยศาสตร์ดิจิทัลเพื่อการผลิตหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาจากการทำวิจัยเชิงสหวิทยาการ บริษัท Google เปิดตัวโครงการดังกล่าวด้วยการสแกน (scan) หนังสือจำนวน 12 ล้านเล่ม มากกว่า 400 ภาษา เป็นจำนวนมากกว่า 5 พันล้านหน้า หรือ 2 ล้านล้านคำ ให้อยู่ในรูปดิจิทัลฟอร์ม แล้วเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลของบริษัทต่อจากนั้นในปี 2010 Google ให้ทุนวิจัยเรื่องมนุษยศาสตร์ดิจิทัล หรือ Google’s Digital HumanitiesResearch Award จำนวน 1 ล้านดอลลาร์ กับนักวิจัย 23 คนจาก 25 มหาวิทยาลัย ใน 12 โครงการวิจัยทางมนุษยศาสตร์ดิจิทัลโดยอนุญาตให้นักวิจัยทั้งหมดสามารถเข้าถึงระบบฐานข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ของ Google เพื่อช่วยในการประมวลผลงานวิจัยดังกล่าวได้
เช่น งานวิจัยของ Daniel Cohen กับ Frederick Gibbs จาก George Mason University สหรัฐอเมริกา เรื่อง “Reframing the Victorian” อันเป็นส่วนหนึ่งใน 12 โครงการวิจัยที่ได้ Google’s Digital Humanities Award ได้ใช้วิธีแนวทางศึกษาแบบ DH สร้างแผนภูมิ แสดงความถี่การปรากฏขึ้นของคำทุกคำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่อหนังสือจำนวน 1,681,161 เล่ม ที่ถูกพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ในประเทศอังกฤษ ช่วงยุคสมัยวิคตอเรียน ระหว่างปี 1789-1914 เพื่อช่วยให้นักวิคตอเรียนศึกษา (Victorian Studies) เข้าใจภูมิปัญญาและความคิดในยุคสมัยนั้นได้อย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น
จากการศึกษา Cohen and Gibbs พบรูปแบบและความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล ขนาดเกือบ 1.7 ล้านรายชื่อว่าความหมายของคำนั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช่นเดียวกับการเลือกใช้คำต่างๆ ที่เอามาตั้งเป็นชื่อเรื่อง เช่น คำว่า “Science” ในระยะแรกๆ จะถูกใช้ในความหมายโน้มเอียงว่า ความรู้ และคำคำนี้จะถูกใช้มากที่สุดในปี 1874 อันเป็นช่วงปีภายหลังของการปฏิวัติอุตสาหกรรม อันแสดงให้เห็นความสนใจของยุคสมัยในเรื่อง “Science” แต่ในขณะเดียวกัน ความหมายที่ถูกใช้ก็ถูกเปลี่ยนให้แคบลงไปจากความหมายว่า ความรู้ ว่าหมายถึงเฉพาะ “วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ” (Natural Science) อันสอดคล้องกับคำว่า “Industrial” ที่เผยตัวครั้งแรกขึ้นบนบรรณภิภพการเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเรื่องในโลกหนังสือเมื่อปี 1832 และรักษาความถี่ของการถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งชื่อเรื่องหนังสืออย่างเสมอต้นเสมอปลายไปจนสิ้นสุดสมัยวิคตอเรียน ในขณะที่คำว่า “Evil” แทบจะไม่เคยถูกใช้เอามาตั้งเป็นชื่อหนังสือเลย
อย่างไรก็ตาม งานศึกษาเรื่องหนังสือสมัยวิคตอเรียนของ Cohen กับ Gibbs ชิ้นต่อไปหรือเฟสสองกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ งานเฟสที่สองนี้เป็นการอินพุตเนื้อหาของหนังสือในสมัยวิตตอเรียนทั้งหมดใส่เข้าไปให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลเพื่อสร้างแผนภูมิแสดงรูปแบบความถี่ของคำต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งแผนภูมิของความถี่ของคำที่ได้ย่อมแตกต่างจากงานชิ้นแรกอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะเป็นการอินพุตเฉพาะแต่ชื่อหนังสือนอกจากนี้ Cohen กับ Gibbs ยังจะเลือกใช้เฉพาะบริบทที่อยู่รายล้อมอยู่รอบๆ คำแต่ละคำเพื่อที่จะเป็นกรอบในการวิเคราะห์ให้ละเอียดลึกลงไปอีกว่า คำแต่ละคำ ถูกใช้ในความหมายเชิงบวกหรือเชิงลบในแต่ละบริบทๆ หนึ่ง เป้าหมายของงานในเฟสที่สองนี้ คือการหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างจากชุดของข้อมูล 3 ชุดคือ ผลการศึกษาในเฟสหนึ่ง เนื้อหาหนังสือที่ถูกอินพุตเข้าไปในเฟสสองและบริบททางประวัติศาสตร์ของข้อมูลชุดหนึ่งและสอง
การนำใช้คอมพิวเตอร์มาใช้ประมวลผลหรือช่วยในการอ่านหนังสือกองโตจำนวนเกือบ 1.7 ล้านเล่มนั้น ไม่ได้หมายความว่าเครื่องจักรสมองกลเหล่านี้จะเข้ามาแทนที่การอ่านแบบละเมียดละไม (closed reading) อันเป็นการอ่านแบบขบเคี้ยวเนื้อหาเพื่อซาบซึ้งดื่มด่ำกับสุนทรียของความหมายที่นักมนุษยศาสตร์นิยมกระทำกันมาแต่ดั้งเดิม แต่การอ่านหนังสือโดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะเป็นการเสนอวิธีการอ่านอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการอ่านตัวบทกองมหึมาที่อาจจะนำไปสู่การตั้งคำถามใหม่ๆ ในการอ่านตัวบทจำนวนมากที่มนุษย์ไม่สามารถอ่านได้หมดในช่วงชีวิตหนึ่งๆ
ทุกวันนี้ งานศึกษาและวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ดิจิทัลได้ขยายขอบเขตไปอย่างมากตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศไปจนถึงวิทยาการข้อมูลและการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่เข้าไปช่วยในการศึกษามนุษย์ในสาขาต่างๆ เกือบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นทางด้าน วรรณกรรมศึกษา ภาษาศาสตร์ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา ปรัชญา ดนตรี นาฏศิลป์ บทละคร สุนทรียศาสตร์ไปจนถึงภูมิศาสตร์และโบราณคดีซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ได้ประโยชน์อย่างมากจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือ เพื่อขยายความรู้ในศาสตร์ของตนเองให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิธีการศึกษาแบบมนุษยศาสตร์ดิจิทัลที่เน้นใช้วิธีการเชิงปริมาณ ด้วยระเบียบวิธีการแบบวิทยาศาสตร์และอาศัยเครื่องจักรช่วยในการคำนวณและประมวลผล นั้นไม่ใช่วิธีการศึกษาที่จะมาทดแทนวิธีการหลักของการศึกษามนุษยศาสตร์แบบดั้งเดิมที่ใช้วิธีการตีความ การประเมินคุณค่าและวินิจฉัยประสบการณ์ แต่จะต้องทำงานร่วมกัน เป็นการศึกษาแบบข้ามพรมแดนการศึกษามนุษยศาสตร์แบบดั้งเดิมเพื่อนำไปสู่ความเชื่อมโยงระหว่างสาขาวิชามนุษยศาสตร์เข้ากับสาขาวิทยาการข้อมูล (Data Science) และสาขาอื่นๆ อีกที่เกี่ยวข้องในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าไปเรื่อยๆ และทุกอย่างเข้าสู่ หรือกลายเป็นดิจิทัลอย่างเต็มตัว การผลิตความรู้ (Knowledge Production) ทางด้านมนุษยศาสตร์ใหม่ๆ อาจไม่ได้อยู่ที่ตัวนักมนุษยศาสตร์เพียงกลุ่มเดียวไม่ว่าจะเป็นนักมนุษยศาสตร์แบบดั้งเดิมหรือแบบดิจิทัล
ดังเช่น ดร.John Asmus นักฟิสิกส์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแสงเลเซอร์ แสงซินโครตรอน ประจำสถาบันฟิสิกส์ประยุกต์และบริสุทธิ์ (Institute for Pure and Applied Physical Science)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก สหรัฐอเมริกาได้ใช้เทคนิคทางด้านฟิสิกส์เรื่องการกำทอนของแม่เหล็กนิวเคลียส (NuclearMagnetic Resonance) ในการสแกนเลเซอร์บนฝาผนังเพื่อค้นหาภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ชื่อ The Battle of Ahghiari ของ Leonardo da Vinci ที่หายสาบสูบ และโดยในเบื้องต้นภายหลังจากที่นักมนุษยศาสตร์ (นักจิตรกรรม) ได้ศึกษาเอกสารและข้อมูลต่างๆ จำนวนมากมายแล้วได้ตั้งสมมุติฐานว่าภาพดังกล่าวอาจจะถูกเขียนทับโดยจิตรกรอีกคนหนึ่งคือ Giorgio Vasari ผู้มีพฤติกรรมที่ชอบเขียนภาพวาดของตัวเองไปทับภาพวาดของคนอื่นๆ แต่ด้วยข้อจำกัดของวิธีการศึกษาทางมนุษยศาสตร์ทำให้ไม่สามารถทำการวิจัยต่อไปเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานดังกล่าวได้ เพราะไม่ต้องการทำลายภาพเขียนของ Vasari เพื่อค้นหาภาพของ Da Vinci ที่อาจจะถูกเขียนทับไว้ ต่อจากนั้น ดร.Asmus จึงได้ใช้เทคนิคการประมวลผลภาพแบบเชิงดิจิทัลและอุลตราโซนิคและแบบดิจิทัล ดึงภาพวาดของ Da Vinci ออกมาจากฝาผนังและเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
งานของ ดร.Asmus แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างศาสตร์สาขาต่างๆ ด้วยการหยิบยืมวิธีการวิจัยกันระหว่างวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และไม่จำเป็นว่าการผลิตความรู้ใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นในสาขาใด ไม่ได้จำเป็นต้องถูกผูกขาดโดยวิธีการศึกษาหลักในสาขานั้นเสมอไป และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ล้วนแต่จะทำให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาในทุกวงการวิชาการทั้งด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี